สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จัดประชุมสัมมนา ครั้งที่ 2 เพื่อนำเสนอผลการศึกษาและรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง งานศึกษาจัดทำแผนพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) เพื่อนำไปสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค
นายสราวุธ ทรงศิวิไล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เปิดเผยว่า จากที่ในปัจจุบัน ท่าเรือแหลมฉบังถือว่าเป็นประตูการค้าหลักของประเทศไทย โดยปี พ.ศ. 2560 มีปริมาณคอนเทนเนอร์ผ่านเข้า – ออกท่าเรือ จำนวน 7.67 ล้านตู้ และรถยนต์ 1.2 ล้านคัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนคิดเป็นร้อยละ 8.64

นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ที่จะเปิดประมูลในเดือนพฤศจิกายน 2561 จะทำให้ท่าเรือแหลมฉบังมีขีดความสามารถรองรับปริมาณตู้สินค้าได้ถึงปีละ 18 ล้าน
ตู้ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณการจราจรบริเวณโดยรอบท่าเรือ แม้ว่ามีสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง หรือ ไอซีดี ลาดกระบังให้บริการอยู่แล้ว แต่ปริมาณคอนเทนเนอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเต็มความจุ
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการกำหนดแนวทางการพัฒนาและกำหนดพื้นที่ที่มีความเหมาะสมในการพัฒนาท่าเรือบกให้ชัดเจน เพื่อลดความแออัดบริเวณรอบท่าเรือแหลมฉบัง โดยกระทรวงคมนาคมกำหนดเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางรางเข้าสู่ท่าเรือแหลมฉบังจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนร้อยละ 5.5 เพิ่มเป็นร้อยละ 30
สำหรับท่าเรือบกที่จะพัฒนานี้ ทำหน้าที่ตรวจปล่อยสินค้าเหมือนท่าเรือ ประกอบด้วย 3 ชนิด ได้แก่ 1) ท่าเรือบกใกล้ท่าเรือ (Close Dry Port) 2) ท่าเรือบกระยะกลางประมาณ 300 กม.จากท่าเรือ (Mid-range Dry Port) และ 3) ท่าเรือบกที่ชายแดน (Distant Dry Port) เพื่อตอบสนองต่อปริมาณการขนส่งสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตในแต่ละพื้นที่
ทั้งนี้ สนข. ดำเนินงานศึกษาจัดทำแผนพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) เพื่อนำไปสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคโดยผลการศึกษาพบว่า พื้นที่ที่มีความเหมาะสมจะพัฒนาท่าเรือบก ประกอบด้วย จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งจะเสนอให้มีการพัฒนา Boarder Logistics Park เพื่อรวบรวม กระจายสินค้าและเพิ่มมูลค่าที่จังหวัดชายแดน อาทิ จังหวัดหนองคาย มุกดาหาร เชียงราย ตาก สระแก้ว และสงขลา เป็นต้น ซึ่งจะมีการเชื่อมโยงกันด้วยระบบโครงข่ายคมนาคมที่มีประสิทธิภาพ