ในที่สุด ฯพณฯ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของเราก็ทำตามสัญญาอย่างที่เคยหาเสียงเอาไว้ว่า จะทำให้ “กัญชา” (Cannabis) หนึ่งในพืชยาเสพติดผิดกฎหมายกลายเป็นพืชถูกกฎหมายให้จงได้ ด้วยเพื่อเป้าหมายอะไรก็แล้วแต่ และพอเมื่อมีการประกาศโดยคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการแล้ว บรรดาต้นกัญชาก็พร้อมกันงอกเงยสูงใหญ่พร้อมออกดอกบานสะพรั่งกันถ้วนหน้าซะอย่างนั้นล่ะครับ
มันช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ซะไม่มีเชียว!
หากแต่กลายเป็นว่าหลังจากรัฐบาลได้เสนอให้กัญชากลายเป็นพืชถูกกฎหมายกันขึ้นมาแล้ว ก็ดูเหมือนจะทำให้บรรดาประชาชนผู้ชื่นชอบในพืชชนิดนี้จะรีบสนองนโยบายหลวงท่านกันขนานใหญ่ จนสุดท้ายก็พากันน็อคเข้าโรงพยาบาลกันวุ่นวายใหญ่โตไปทั่วประเทศ ชนิดที่บรรดาผู้ป่วยจากอาการเสพกัญชาเกินขนาดจะกลายมาเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินกลุ่มใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่ผู้ป่วยโรคห่าตำปวดยี่ห้อโควิด19เพิ่งจะสร่างซากันไปไม่นานแท้ๆ
ไม่รู้จะรีบเสพกันไปไหน…
คำถามจึงเกิดในใจของกองบรรณาธิการขึ้นมาว่า ทำไมกัญชาถึงกลายมาเป็นหนึ่งในยาเสพติดที่นิยมกันมากที่สุดในโลกขึ้นมาได้ และใครเป็นผู้อุตริคิดค้นนำมันมาใช้และเสพเป็นพวกแรกกันแน่?
สำหรับความเป็นกัญชานั้นถือว่าเป็นพืชที่มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก แต่ญาติของมันอย่าง “กัญชง” (Hemp) ที่ไม่เพียงแต่จะมีชื่อในภาษาไทยที่เหมือนกัน แต่ยังมีรูปร่างหน้าตาละม้ายกับกัญชาอย่างชนิดว่าแทบแยกไม่ออกกันเลยทีเดียว แถมยังมีฤทธิ์ในทางยาคล้ายๆกันอีกต่างหาก แต่เจ้ากัญชงกลับมีดีมากกว่าญาติของมันตรงที่เราสามารถนำใยลำต้นของมันมาทอเป็นเครื่องนุ่งหุ่มได้นี่ล่ะครับ เพราะมีการค้นพบหลักฐานว่ามนุษย์ได้นำใยต้นกัญชงมาเครื่องทอมาตั้งแต่เมื่อราว 7 – 6 พันปีก่อนแล้ว โดยมีการค้นพบหลักฐานผ้าทอโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ทำจากใยกัญชงทั้งในญี่ปุ่น เกาหลี จีน และเรื่อยไปจนถึงใจกลางทวีปเอเชียอีกด้วย โดยใยของต้นกัญชงนั้นมีความยืดหยุ่นแต่ทนทาน เนื่องด้วยใยของมันมีการสานตัวในลักษณะเดียวกับ “เคฟล่า” (Kevlar) ซึ่งเป็นใยสังเคราะห์ที่นิยมนำไปผลิตเกราะกันกระสุน , แม้แต่เครื่องประกอบอาวุธปืนในทุกวันนี้นั่นเอง โดยหนึ่งในตัวอย่างของวัสดุที่สร้างจากใยต้นกัญชงก็คือสายธนู”(Bow string) ของญี่ปุ่นที่เรียกว่า “สึรุ” (弦 – tsuru) เพราะมันมีสรรพคุณที่สามารถดีดตัวแล้วกลับคืนคงตัวได้ในพริบตา ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้สามารถน้าวสายธนูยิงได้อย่างต่อเนื่องโดยที่สายไม่หย่อนลงจนส่งผลต่ออานุภาพการยิงนั่นเองล่ะครับ และด้วยความทนทานของใยกัญชงนี้ยังถูกนักวิจัยนำไปพัฒนาเพื่อหวังนำมาเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตวัสดุก่อสร้างทดแทนในภายภาคหน้าอีกด้วยล่ะครับ
อย่างไรก็ตาม นอกจากความทนทานของใยมันแล้ว กัญชงก็ยังมียางที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทด้วยเหมือนกัน จึงทำให้กัญชงถูกนำมาใช้เป็นกระษัยยาบรรเทาอาการปวดควบคู่ไปกับการนำมาใช้เป็นวัสดุในการทอเครื่องนุ่งห่ม แต่มนุษย์ก็ได้พบว่าฤทธิ์ของกัญชงนั้นก็ไม่สู้รุนแรงเท่ากับญาติของมันอย่างกัญชาที่สามารถนำชิ้นส่วนทั้งต้นมาประกอบเป็นเครื่องยาได้ และนอกจากฤทธิ์ให้ผลต่อระบบประสาทแล้ว แต่หากถ้ามีการเสพกัญชาเข้าไปมากยิ่งขึ้นก็จะยิ่งมีฤทธิ์อาการหลอนประสาทไปด้วย อันส่งผลให้กัญชาได้ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นสารเสพย์ติดไปด้วย อย่างในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูฝ่ายไศวะนิกายหรือกลุ่มที่นับถือพระศิวะนั้น จะมีการนำใบกัญชามาต้มกลั่นเป็นเหล้าที่เรียกว่า “โสมะ” (सोम – Soma) เพื่อใช้สำหรับบูชาพระศิวะโดยเฉพาะ เพื่อให้พราหมณ์หรือเหล่าผู้รับใช้ดื่มแล้วเกิดความปีติสุขในขณะที่ตนกำลังบูชาเทพเจ้า และน้ำโสมะนี้ก็อาจจะเป็นต้นกำเนิดของ “ภัง” (Bhang) ซึ่งเป็นน้ำกัญชาปั่นที่ใช้ดื่มโดยทั่วไปในอินเดียอีกด้วย และด้วยฤทธิ์หลอนประสาทอันเลื่องชื่อของกัญชานี้เองที่ทำให้มันได้กลายมาเป็นสารเสพติดที่แพร่หลายมากที่สุดชนิดหนึ่งร่วมกับ “ฝิ่น” (Opium) ซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นที่พบได้ในอนุทวีปอินเดีย แต่ดูเหมือนกัญชาจะกลายมาเป็นที่นิยมเสียมากกว่า เพราะมันได้กลายมาเป็นทั้งยารักษาโรคและยาเสพติดที่นิยมกันโดยทั่วไปในในภูมิภาคตะวันออกกลางในกาลต่อมา โดยชาวเปอร์เซียแลอาหรับต่างนิยมในพืชลึกลับชนิดนี้ที่พวกเขาเรียกว่า “ฮาชิช” (حشيش- Hashish) ซึ่งแปลว่า “ยาแห้ง” (dry herb) เพราะว่ามันได้ถูกนำเข้ามาในฐานะยางที่ถูกสกัดและบ่มจนแห้งนั่นเอง และทุกท่านเชื่อหรือไม่ครับว่าไอ้ยาแห้งชนิดนี้ยังเคยถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองภายในโลกอิสลามมาแล้วเช่นกัน
เพราะจากหลังที่โลกอิสลามได้แตกออกเป็นสองขั้วคือฝ่ายซุนนะห์และชีอะห์ในช่วงศตวรรษที่ 11 นั้นเอง ปรากฎมีกลุ่มนักรบชีอะห์หัวรุนแรงที่เรียกว่า “นิซาริส อิสมาอีลี” (النزاريون – Nizari Isma’ilism)ได้รวมตัวเพื่อทำการลอบโจมตีหรือสังหารผู้นำศาสนาและรัฐมุสลิมซุนนะห์โดยเฉพาะภายใต้นามว่า “ฮัสซาชิน” (الحشَّاشين – Hassashin) อันมีความหมายตรงตัวว่า “ผู้เสพยา/กัญชา” โดยลัทธินักฆ่านี้ไม่เพียงแต่จะฝึกเหล่าสาวกให้รู้จักการต่อสู้และการลอบสังหารอย่างเข้มงวดเท่านั้น แต่เจ้าลัทธิยังจะให้เหล่าสาวกต้องเสพกัญชาติดต่อกันเป็นเวลายาวนานเพื่อมิให้เกิดความกลัวต่อความเจ็บปวดหรือความตายใดๆ ดังมีรายงานจากช่วงสงครามครูเสด (Crusade) ว่ามี “อัศวินเทมปลาร์” (Templar) ผู้หนึ่งที่เคยไปเข้าพบลัทธินักฆ่าเหล่านี้ และเจ้าลัทธิก็สั่งให้สาวกคนนึงเตรียมตัวโดดลงมาจากหน้าผา โดยที่สาวกคนนั้นได้รับคำสั่งแล้วรีบเดินไปยังริมหน้าผาเพื่อเตรียมตัวกระโดดฆ่าตัวตายอย่างมิได้มีอาการอิดเอื้อนกริ่งเกรงต่อความตายเลยแม้แต่น้อย แต่เดชะบุญที่อัศวินเทมปลาร์ผู้นั้นได้ร้องขอชีวิตสาวกผู้นั้นเอาไว้เสียก่อน และด้วยความน่ากลัวของภาคีนักฆ่านอกรีตเหล่านี้ จึงทำให้เหล่าผู้นำรัฐหรือผู้นำทางศาสนาอิสลามซุนนะห์หรือแม้แต่พวกชีอะห์ด้วยกันยังรู้สึกเกลียดชังและหวาดกลัวเป็นอันมาก แต่สุดท้ายแล้วเหล่านักฆ่าพวกนี้ก็จะเจอกับกองทัพที่โหดเหี้ยมที่สุดในโลกยุคกลางอย่างพวกมองโกล (Mongols) กวาดล้างไปจนสิ้นซากในตอนการรุกรานโลกอิสลามครั้งใหญ่ช่วงศตวรรษที่ 13 เอาจนได้นั่นล่ะครับ
เอาล่ะครับ ผมเผลอนอกเรื่องไปไกลซักหน่อย ขอวกกลับมาเข้าเรื่องกันต่อละกันนะครับ
ส่วนสถานะของกัญชาในประเทศไทยนั้นก็มิได้ต่างจากบรรดาประเทศต่างๆในตะวันออกที่ถือว่ามันก็เป็นหนึ่งในยาสมุนไพรสำคัญมาตั้งแต่ยุคโบราณ เพราะมีปรากฎหลักฐานว่ากัญชาเป็นยาสมุนไพรมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว โดยสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้เผยแพร่ข้อมูลตำรับยาอันมีกัญชาที่เป็นตัวยาสำคัญในทางการแพทย์แผนไทย 16 ตำรับ ตัวอย่างเช่น “ตำรับยาศุขไสยาสน์” มีที่มาจากคัมภีร์ธาตุพระนารายณ์ อันมีข้อบ่งใช้ว่ากัญชาสามารถช่วยให้นอนหลับ และใน “ตำรายาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม” กัญชาสามารถใช้แก้กษัยเหล็ก ลดอาการแทรกซ้อนในผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก มะเร็งตับในระยะเริ่มต้น แต่ถึงกระนั้นก็มีข้อห้ามระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามใช้กัญชากับผู้ป่วยที่สตรีมีครรภ์ , ผู้ที่ไข้สูง หรือมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ อันแสดงให้เห็นว่ากัญชาเป็นพืชที่มีสารเสพย์ติดที่มีทั้งคุณและโทษเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากเสพกัญชาในปริมาณมากไป แม้ในระยะเวลาอันสั้นก็สามารถส่งผลต่อระบบสมองและปอดได้อย่างรุนแรงแล้ว หรือแม้แต่อาจจะทำให้ช็อคหรือหมดสติได้โดยง่ายอย่างที่เราๆท่านๆอาจจะเห็นตามเพจข่าวต่างๆในช่วงที่ผ่านมานี้ ซึ่งทำให้เห็นว่ากัญชานับเป็นสารเสพย์ติดที่มีความรุนแรงและอันตรายยิ่งกว่าเหล้าและบุหรี่มากเลยทีเดียว
แม้กระนั้น ผลจากการที่กัญชายังมีประโยชน์ในทางการแพทย์อยู่มากดังที่ได้กล่าวไปแล้ว เพราะนอกจากจะใช้เป็นยาบรรเทาปวดได้แล้ว แต่ยังมีการค้นพบว่าน้ำมันสกัดจากกัญชานั้นสามารถนำไปใช้รักษาโรคมะเร็งได้อีกด้วย จึงทำให้กัญชาและกัญชงกลายมาเป็นพืชที่ต้องมีการออกกฎหมายควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์และ “การสันทนาการ” อย่างเหมาะสมด้วย ซึ่งหนึ่งในประเทศที่ได้ให้อิสระกับประชาชนในการเสพและครอบครองกัญชาในระดับหนึ่งเลยก็คือ “ประเทศเนเธอร์แลนด์” (Netherland) แต่กระนั้นในความมีเสรีหรือการให้อิสระกับประชาชนของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ก็มิใช่ว่าจะให้ประชาชนสามารถซื้อขายหรือออกมาเดินมานั่งสูบกัญชาได้ทั่วไปแบบเดียวกับบุหรี่ เพราะตามกฎหมายของเขายังคงระบุว่ากัญชาเป็นสารเสพย์ติดผิดกฎหมายอยู่ครับ เพียงแต่เขามีการลงรายละเอียดไปว่าห้ามมิให้ประชาชนครอบครองกัญชาเกินกว่า 5 กรัมหรือเทียบเท่ากับบุหรี่ประมาณ 4 – 5 มวนเท่านั้น และจะต้องเสพในพื้นที่ส่วนตัวหรือพื้นที่ถูกกำหนดเอาไว้ อย่างเช่นบรรดาร้านค้าที่ได้รับอนุญาตจากทางภาครัฐแล้วนั่นเอง
หากแต่เมื่อย้อนกลับมามองสถานการณ์ทางฝั่งไทยแล้ว กลับพบว่าเมื่อมีการประกาศอนุญาตปลูกกัญชาอย่างเสรีแล้ว ก็ดูเหมือนจะได้โทษมากกว่าคุณ เพราะผู้คนต่างรีบเสพกันพากันป่วยเข้าโรงหมอเป็นว่าเล่นอย่างที่ผมได้กล่าวในขั้นต้นไปแล้ว จนทำให้ภาครัฐต้องออกกฎมาประกาศเป็นข้อๆ เหมือนอาการวัวหายล้อมคอกไปเสียอย่างนั้น ซึ่งพวกเราก็ได้แต่หวังว่าภาครัฐจะรีบหามาตราการมาควบคุมการครอบครองและการปลูกกัญชาเอาไว้อย่างสมควร เพื่อมิให้เป็นการปิดกั้นประชาชนหรือเอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป แต่เป็นเพื่อประโยชน์แห่งมนุษยชาติในการผลิตเพื่อทำยารักษาชีวิตของพวกเราต่อไปในอนาคตอย่างสมควรด้วยก็แล้วกันนะครับ
ขอบคุณ
เรื่องโดย ภาสพันธ์ ปานสีดา
ภาพจากอินเตอร์เน็ต