หลังการประกาศเคอร์ฟิวยังคงมีประชาชนที่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของทางราชการโดยล่าสุดมีผู้ฝ่าฝืนเคอร์ฟิวที่ถูกจับกุมไปแล้วถึง 623 ราย ซึ่งทุกคดีพนักงานอัยการได้มีคำขอให้ศาลลงโทษสถานหนัก
นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุถึงภาพรวมทั้งประเทศในการดำเนินคดีกับผู้ฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ตั้งแต่วันที่ 3-6 เมษายน ที่ผ่านมา พบมีการฝ่าฝืนทั้งสิ้น 438 คดี ผู้ต้องหา 623 คน ซึ่งทุกคดีพนักงานอัยการได้มีคำขอให้ศาลลงโทษสถานหนัก
ซึ่งแนวทางการตัดสินมีหลายมาตรการ แล้วแต่ดุลพินิจของศาล ตามคำขอของพนักงานอัยการ เช่นตัวอย่าง ศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา ลงโทษจำคุก 2 – 4 เดือน โดยไม่รอการลงอาญา และ ศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานี จำคุก 15 วัน เปลี่ยนเป็นกักขังแทน 15 วัน ในสถานกักกันของกรมราชทัณฑ์ แทนเรือนจำ
ส่วนคดีที่มีการฝ่าฝืนมากที่สุด ได้แก่ การออกนอกเคหะสถานโดยไม่มีเหตุอันควร ระหว่างเวลา 22.00 น. – 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น รองลงมาคือมั่วสุมกันในห้วงเวลาดังกล่าว ส่วนช่วงอายุที่มีการกระทำผิดมากที่สุด คือ อายุ 20-35 ปี รองลงมาคือ 35-55 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่กระทรวงสาธารณสุขให้ระมัดวังการเป็นพาหะในการแพร่เชื้อ ซึ่งทุกคดีพนักงานอัยการได้ส่งฟ้องศาลไปหมดแล้ว นอกจากนี้ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ยังระบุว่า เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้ที่ฝ่าฝืน เพราะมั่นใจว่าจะเป็นอีกแนวทางที่จะช่วยให้ยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ได้