ศาลปกครองสูงสุด “รับฟ้อง” หมอยาไทยพื้นบ้าน กรณี “ก.สาธารณสุข-กรมแพทย์แผนไทย” ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ทำเสียโอกาสส่งยาสมุนไพรไทยไปต่างประเทศ-รักษาผู้ป่วยเบาหวานแผลเน่า-โรคหัวใจ พร้อมเรียกค่าเสียหาย 5 พันล้าน เผยผลงานรักษาผู้ป่วยเบาหวานไม่ต้องตัดเท้า-ขา แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ
นายชัยรัตน์ นนทชัย (หมอเณร) หมอสมุนไพรชื่อดัง จาก จ.กาญจนบุรี เดินทางมายังศาลปกครองสูงสุด พร้อมทนายความ เพื่อยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติมต่อศาลฯ ภายหลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งกลับศาลปกครองกลางให้รับคำฟ้องกรณีนายชัยรัตน์ นนทชัย เป็นโจทย์ฟ้องกระทรวงสาธารณสุข (จำเลยที่ 1) และกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย และแพทย์ทางเลือก (จำเลยที่ 2) คดีหมายเลขดำที่ 317/255 และคดีหมายเลขแดงที่ 765/2555 ข้อหาปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 โดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 5,000 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ศาลรับฟ้อง
นายชัยรัตน์ เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ตนได้ใช้ความรู้ความสามารถในฐานะหมอพื้นบ้านที่ได้สืบทอดความรู้มาจากบรรพบุรุษ และคัมภีร์การแพทย์สมุนไพรโบราณรักษาผู้เจ็บป่วยโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนได้รับการยอมรับ ทั้งจากในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งติดต่อขอนำเข้าตำรับยาสมุนไพรเมื่อปี 2544 คณะแพทย์และทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยคินฮาซา ประเทศคองโก ทราบว่าสมุนไพรสร้างภูมิของหมอเณรสามารถระงับต้านเชื้อเอดส์ (HIV)ได้ จึงเดินทางมาเจรจากับตนที่ประเทศไทยเพื่อขอนำเข้ายาสมุนไพรไปรักษาผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งแพทย์และทีวิจัยคองโกระบุว่า ได้นำยาสมุนไพรไปใช้กับผู้ป่วยเอดส์ ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 3 วัน แต่เมื่อรับยาสมุนไพรของตนเพียง 3 วัน อาการดีขึ้น มีแรงสามารถเดินได้ น้ำหนักตัวขึ้น และมีอาการเป็นปกติตามลำดับ จึงเดินทางมาติดต่อตนเพื่อนำเข้าสมุนไพรไทย เพื่อนำไปรักษาผู้ป่วยในทวีปแอฟฟริกา และยังมีตัวแทนบริษัทยาข้ามชาติหลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นเดินทางมาเจรจา เพื่อขอนำเข้าสมุนไพรของตน แต่ไม่สามารถดำเนินการตามข้อตกลงได้ เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ไม่พิจารณาออกใบรับรองผู้ประกอบโรคศิลปะ เพื่อดำเนินจดสิทธิบัตรยาต่อไป ส่งผลให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก ตนจึงได้รวบรวมหลักฐานเอกสารสัญญาต่างๆ ร้องเรียนต่อศาลปกครองเพื่อขอความเป็นธรรม
“ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ผมได้เรียกร้องกระทรวงสาธารณสุข กรมพัฒนาแพทย์แผนไทยฯ ให้พิจารณารับรองผลงานในการรักษาผู้ป่วยด้วยตำรับยาสมุนไพรมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงร้องขอหนังสือรับรองผู้ประกอบโรคศิลปะ แต่กลับมีการประวิงเวลา จนทำให้ผมไม่สามารถดำเนินการตามสัญญากับบริษัทข้ามชาติเพื่อส่งตำรับยาสมุนไพรตามข้อตกลงได้ รวมถึงเสียโอกาสในการรักษาประชาชนที่เจ็บป่วยจากโรคเบาหวานแผลเน่า และโรคหัวใจ ส่งผลให้เกิดความเสียหายเป็นเงินจำนวนมหาศาล ซึ่งผมรู้สึกดีใจที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งกลับรับฟ้อง และเชื่อมั่นว่าจะได้รับความยุติธรรมจากท่านผู้พิพากษาที่จะพิจารณาพยานหลักฐานต่างๆ โดยเฉพาะการต่อสู้ครั้งนี้ ผมไม่ได้มุ่งหวังต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนตัวผมเท่านั้น แต่ต้องการรักษามรดกภูมิปัญญาบรรพบุรุษล้ำค่าให้ตกทอดไปสู่รุ่นลูกหลาน อีกทั้งยังเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ต้องการส่งเสริมหมอพื้นบ้าน สมุนไพรไทยให้เป็นแพทย์ทางเลือก และช่วยส่งเสริมเกษตรกรมีรายได้จากการเพาะปลูกพืชสมุนไพร ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายภาครัฐในการนำเข้ายารักษาโรคจากต่างประเทศปีนับแสนล้านบาทอีกทางหนึ่งด้วย”
หมอสมุนไพรชื่อดัง ยืนยันว่า ด้วยว่า ปัจจุบันมีประชาชนที่ป่วยเดินทางมาปรึกษาและขอรับยาสมุนไพรจากตนอย่างต่อเนื่อง เช่นผู้ ป่วยโรคหัวใจ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งมีบาดแผลเน่าเปื่อยเป็นเนื้อร้าย แพทย์วินิจฉัยต้องตัดเท้า และขา แต่คนไข้ที่มีอาการรุนแรงนี้ ไม่สามารถที่จะทำใจได้ จึงมารับการรักษาด้วยสมุนไพรจากตน และหลังรับการรักษาจากตนไปเพียงแค่ 3-6 เดือน ปรากฏว่าบาดแผลสามารถประสานและหายเป็นปกติตามลำดับ
นายชัยรัตน์ ระบุด้วยว่า ที่ผ่านมาตนพยายามเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาผลงานในการรักษาผู้ป่วยด้วยสมุนไพรไทย แต่ไม่ได้รับการสนับสนุน โดยตนได้ยื่นหนังสื่อขอให้คณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบสนับสนุนการรักษาโรคหัวใจและโรคเบาหวานแผลเน่าด้วยสมุนไพรไทย สามารถรักษาโรคดังกล่าวได้จริง จนเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2553คณะกรรมาธิการฯ ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ 4876/2553 ระบุว่า ได้ตรวจสอบข้อร้องเรียนดังกล่าวแล้ว จึงได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ให้สนับสนุนและผลักดันการรักษาโรคด้วยสมุนไพรจากส่วนราชการว่า เป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการแพทย์พื้นบ้านไทย เพื่อขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนไทย และรับรองตำรับยาเพื่อจดสิทธิบัตรต่อไป
“การค้นพบยาสมุนไพรสร้างภูมิ ถือเป็นการค้นพบเรื่องสำคัญในวงการแพทย์หนึ่งเดียวในโลก มีคุณค่าควรเมือง แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบกลับปิดกั้นไม่สนับสนุนส่งเสริม จึงได้รวบรวมหลักฐานต่างๆ ฟ้องกระทรวงสาธารณสุข กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ เพื่อให้ชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นเงินจำนวน 5,000 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้ หากพิจารณาให้ถ่องแท้แล้วเป็นตัวเลขที่ไม่ได้มากมายอะไร หากเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกรณีผู้ป่วยโรคเบาหวานแผลเน่าไม่ต้องตัดขา หรือเท้า หรือแม้แต่โรคหัวใจ ซึ่งผู้ป่วยจำนวนมากต้องเสียเงินไปกับการรักษาหลักแสนหลักล้านบาท แต่สุดท้ายต้องกลายเป็นผู้ทุพพลภาพ พิการ อีกทั้งรัฐธรรมปี 2560 มาตรา 55 บัญญัติไว้ว่า รัฐต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง เสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค และส่งเสริมสนับสนุนให้มีการพัฒนาภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นต้น ผมจึงหวังว่าศาลท่านจะเมตตาให้ความเป็นธรรมกับผม ซึ่งจะยังประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนคนไทย และประเทศชาติโดยรวม”