รง.ยาสูบโดนเท!สุดดราม่าเจ๊งหนักมากพลิกจากกำไรหมื่นล้านเป็นขาดทุน

อนิจจังสังขารไม่เที่ยง จากกำไรหมื่นล้าน กลายเป็นขาดทุน พันล้าน ต้องกู้เงินก.คลังจ่ายเงินเดือน ดราม่าแบบนี้เกิดขึ้นแล้วกับโรงงานยาสูบ ที่ต้องเตรียมตัวเปลี่ยนสถานะจาก “โรงงานยาสูบ” เป็น “การยาสูบฯ” เปิดทางทำธุรกิจหลากหลายมากขึ้น

Advertisement

นางสาวดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ ผู้อำนวยการยาสูบ โรงงานยาสูบ เปิดเผยว่า ที่ประชุมใหญ่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติวาระ 3 เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการยาสูบแห่งประเทศไทย พ.ศ….ขณะนี้รอขั้นตอนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ลงพระปรมาภิไธย  จึงทำให้โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง เปลี่ยนสถานะเป็นนิติบุคคล มีชื่อใหม่เรียกอย่างเป็นทางการว่า “การยาสูบแห่งประเทศไทย”  ชื่อย่อ “ยสท.”  ชื่อภาษาอังกฤษว่า Tobacco Authority of Thailand “TOAT”  ยังคงมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการคลังเป็นเจ้าของทั้งหมด

พ.ร.บ.ฉบับใหม่ เมื่อเปลี่ยนสถานะครั้งนี้ เปิดทางให้ดำเนินธุรกิจอื่นได้หลากหลายเกี่ยวกับยาสูบและกิจการอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น การรับจ้างผลิตยาสูบ เพื่อส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม เมียนมาร์ และได้ลงนาม MOU แต่งตั้ง บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) :  BJC เป็นตัวแทนจำหน่ายในลาว กัมพูชา ส่วนเวียดนาม เมียนมาร์ ต้องให้บริษัทท้องถิ่นเป็นผู้จำหน่าย  ปัจจุบันได้มีต่างชาติหลายรายสนใจว่าจ้างโรงงานยาสูบผลิตบุหรี่เพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศต่าง จึงส่งผลดีในระยะยาวต่อเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบ ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น  รวมถึงได้เจรจากับจีนหลายมณฑลยูนาน ปักกิ่ง ฉงชิ่ง เพื่อรับจ้างผลิต (OEM) จึงต้องเตรียมลงทุนพัฒนาเครื่องจักรเพิ่มเติม เสนอกระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ รองรับการใช้เป็นทุนหมุนเวียน การพัฒนาเครื่องจักรประมาณ 7,000 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันเหลือทุนหมุนเวียนไม่ถึง 5,000 ล้านบาท

นางสาวดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ ผู้อำนวยการยาสูบ

นอกจากนี้ โรงงานยาสูบเตรียมเสนอกระทรวงการคลัง เพื่อขอกู้เงินมาใช้ดำเนินการใน 2 เรื่อง คือ 1.ใช้ในการลงทุนติดตั้งเครื่องจักรที่โรงงานยาสูบแห่งใหม่ในปีนี้ ประมาณ 2,900 ล้านบาท จากงบลงทุนทั้งหมด 7,000 ล้านบาท และ 2.ใช้เสริมสภาพคล่องที่จะเริ่มมีผลกระทบตั้งแต่เดือน พ.ค. เป็นต้นไป เพื่อนำมาจ่ายเป็นเงินเดือนให้กับพนักงาน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เพื่อสรุปวงเงินกู้และความจำเป็นในการใช้เงิน
“เป็นครั้งแรกที่โรงงานยาสูบต้องขอกู้เงิน โดยให้กระทรวงการคลังมาช่วยค้ำประกันให้ เป็นผลกระทบจากภาษียาสูบใหม่ ทำให้โรงงานยาสูบไม่มีกำไร จากเดิมที่มีสภาพคล่องเพิ่มเข้ามาเดือนละ 4,000 ล้านบาท แต่ตอนนี้ไม่มีเข้ามาเลย และเหลือสภาพคล่องไม่ถึง 5,000 ล้านบาทพอใช้ถึง พ.ค.นี้ เท่านั้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างสรุปวงเงินกู้ คาดว่าจะเป็นหลักพันล้านบาท

ยอมรับว่าได้รับผลกระทบอย่างมาก หลังจากการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต จึงคาดว่าจากผลประกอบการมีกำไร 9,344 ล้านบาท อาจต้องมีผลขาดทุน 1,500 ล้านบาทในปี 61 กำลังการผลิตยาสูบจาก 32,000 ล้านมวนต่อปีในปี 60 ลดเหลือ 18,000 ล้านมวนต่อปี   แต่เมื่อรับจ้างผลิตยาสูบและธุรกิจอื่นเพิ่มเติมในปี 63 คาดว่าเครื่องจักรโรงงานยาสูบแห่งใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จ.อยุธยา มีกำลังการผลิตสูงถึง 65,000 ล้านบาท มองว่าภาระกิจใหม่ ยังพอเป็นช่องทางให้ ยสท. พึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว