ข้อเสนอผ่านเวที ผ่าทางตัน : โรงไฟฟ้าถ่านหิน จัดโดยชมรมคอลัมนิสต์ฯ กับแนวทางการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าในภาคใต้ เวทีระดมสมองหาทางออก ผุดแนวคิด ซื้อจากกัมพูชา ส่งขายภาคใต้ไทยในราคาถูก
ชมรมคอลัมนิสต์ นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ไทย จัดเสวนา “ผ่าทางตัน : โรงไฟฟ้าถ่านหิน” เพื่อหาทางออกให้กับปัญหาพลังงานในจังหวัดภาคใต้ นายณรงค์ ปานนอก ประธานชมรมคอลัมนิสต์ฯ กล่าวถึงการจัดงานครั้งนี้ ว่า หลังจากที่ชมรมคอลัมนิสต์ฯเฝ้าติดตามสถานการณ์พลังงานไฟฟ้าของไทย นับแต่จัดเสวนาปัญหาโรงไฟฟ้าเมื่อปี 2557 และล่าสุด เรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน เมื่อต้นปี 2560 พบว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาข้างต้นของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังคงหาทางออกที่เด่นชัดไม่ได้
สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าของภาครัฐ จากเดิมที่เคยบอกจะดำเนินการศึกษาถึงความเป็นไปได้ แต่ล่าสุด รัฐบาลเพิ่งมีนโยบายให้ชะลอแผนศึกษาออกไปอีก 3 ปี ซึ่งระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้จะเป็นอย่างไรนั้น จึงเป็นสิ่งที่สื่อมวลชน และประชาชนผู้สนใจทั่วไป รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรต้องติดตามข่าวสารข้อมูลอย่างใกล้ชิดต่อไป
ด้านนายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวว่า การมองภาพรวมพลังงานว่าจะเพียงพอหรือไม่ต้องมองทั้งระบบ ซึ่งระบบการผลิตพลังงานมี 4 ระบบคือ 1 กำลังการผลิตติดตั้ง ซึ่งปัจจุบันเมืองไทยมีการผลิตติดตั้งได้ 30,000 เมกะวัตต์ แต่เราไม่ได้ผลิต 30,000 เมกะวัตต์ได้ตลอดเวลา ถ้าโรงไฟฟ้าบางแห่งมีปัญหาก็ทำให้การผลิตลดลง 2. กำลังการผลิตพร้อมจ่าย ซึ่งเป็นตัวสำคัญมาก เพราะแสดงถึงกำลังการผลิตแท้จริง 3.กำลังการผลิตสำรอง แม้ปัจจุบันกำลังการผลิตสำรองของเราจะสูงกว่าช่วงดีมานด์พีค 20% คือผบิตได้ 30,000 เมกะวัตต์ ขณะที่ช่วงการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 28,000 เมกะวัตต์ แต่กำลังการผลิตกว่า 60% มาจากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งถือว่ายังมีความเสี่ยงหากแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย เมเลเซีย หรือ เมียนมามีปัญหา และ 4. กำลังการผลิตที่พึ่งพาได้ สามารถผลิตได้ในกรณีฉุกเฉินหรือวิกฤติ ในกรณีที่โรงไฟฟ้าหลักเสียหาย
เมื่อมองไปในส่วนของภาคใต้ นายมุญกล่าวว่า ปัจจุบันกำลังการผลิตติดคั้งมาจากโรงไฟฟ้าหลัก 2 แหล่งคือ โรงไฟฟ้าจะนะ 1,476 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าขนอม 930 เมกะวัตต์ รวม 2,406 เมกะวัตต์ โดยมีกำลังการผลิตจริงคือ โรงไฟฟ้าจะนะผลิตได้ 1,106 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าขนอม 918เมกะวัตต์ รวม 2,024 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก 2-3 โรงประมาณ 140 เมกะวัตต์ รวมกำลังการผลิตจริง 2,164 เมกะวัตต์ ขณะที่ความต้องการไฟฟ้าสูงสุด 2,500 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลือต้องนำเข้าจากภาคกลาง และหากมองไปอีก 5 ปีข้างหน้า ความต้องการใช้ไฟเพิ่มอีกปีละ 5%จะเพิ่มยอดใช้ไฟฟ้าอีกประมาณ 500 เมกะวัตต์ ไม่เพียงพอแน่นอน ต้องสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มเติม
ขณะที่ ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน กล่าวถึงประเด็น ภาพรวมของไฟฟ้าจำเป็นในเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ที่มีการใช้ไฟฟ้าจำนวนมากในธุรกิจการท่องเที่ยว ที่มีการใช้ไฟฟ้าพีคในเวลากลางวัน แตกต่างจากภาคกลาง ที่มีปริมาณความพีคอยู่ที่กลางคืน และได้นำสถิติการใช้ไฟฟ้าของทั้งประเทศและพื้นที่ภาคใต้ มานำเสนอ ยืนยันว่าประเทศไทยยังมีความจำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าเพิ่มและอยู่ในการปรับแผน PDP เพื่อกระจายแหล่งเชื้อเพลิงอีกทั้งลดความเสี่ยงหรือเสี่ยงน้อยที่ประเทศจะขาดแคลนพลังงาน เราจึงจำเป็นต้องทบทวนพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่ ทั้งนี้ในแผนได้ยึดโยงปกติคือการพึ่งพาเชื้อเพลิงเชิงเดี่ยว
กรณีสร้างโรงไฟฟ้าเกาะกง เคยมีการเสนอมายังรัฐบาลและ พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีการพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มาแล้วเช่นกัน แต่ยังไม่ได้นำเรื่องนี้มาให้การไฟฟ้าพิจารณา แต่ยืนยันว่าอีก 20 ปี เราอาจต้องซื้อไฟจากต่างประเทศเพราะตอนนี้ก๊าซเราเหลือเพียง 35%
ส่วนนายธีรพจน์ กษิรวัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ กล่าวว่า จ.กระบี่มีแนวทาง การพัฒนาจังหวัดในทุกมิติ ภายใต้แนวคิดที่ว่า “กระบี่ โก กรีน” หรือ กระบี่ในทิศทางการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แม้รายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวของ จ.กระบี่จะเพิ่มขึ้นทุกปี โดยปีที่ผ่านมา มีรายได้จากการท่องเที่ยวถึง 8.8 หมื่นล้านบาท และหากรวมกับรายได้จากการท่องเที่ยวของทุกจังหวัดในภาคใต้ พบว่ามีมากถึง 5 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุก แต่ก็ให้ความสำคัญกับภาคส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นประมง การเกษตร สัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อม รวมถึงปัญหาสุขภาพและวิถีชีวิตของคนในพื้นที่
มีคำถามมากมายที่ต้องถามการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯและหน่วยงานที่ว่า ภาคใต้จำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่อาจส่งผลกระทบต่อปัญหาข้างต้นมากแค่ไหน? ที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทำการศึกษาข้อมูลข้อเท็จจริงได้แค่ไหน? มีการนำข้อเสนอมูลและข้อเรียกร้องที่คนในพื้นที่ได้นำเสนอมาประกอบการพิจารณาหรือไม่? ที่สำคัญหากโรงไฟฟ้าถ่านหินดีจริง แล้วเหตุใดจึงเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งของคนในพื้นที่ ทั้งที่ อ.เทพา จ.สงขลา และ จ.กระบี่ ซึ่งในส่วนของพื้นที่เป้าหมายในการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่นั้น ถือเป็นพื้นที่บริสุทธิ์ เป็นจุดที่มีผืนหญ้าทะเลใหญ่สุดของประเทศ และยังเป็นแหล่งพักอาศัยของฝูงค้างค้าวขนาดใหญ่อีกด้วย นอกจากนี้ ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้ภายใน จ.กระบี่ มีถึงปีละกว่า 1,000 เมกกะวัตต์ เหลือใช้กระทั่งมีพอจะส่งไปขายให้จังหวัดอื่นๆ ได้ใช้ จึงอยากให้ภาครัฐได้พิจารณาประเด็นเหล่านี้ก่อนจะมีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน
ที่ผ่านมาพบว่าข้อมูลหลายส่วนที่มาจากคนพื้นที่ ซึ่งได้เสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแล้ว แต่กลับไม่ได้นำมาพิจารณาประกอบการจัดทำแผนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ขณะเดียวกัน ก็กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมายที่ไม่เห็นด้วยกับการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่พวกเขาก็ถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งนี้ ตนขอทิ้งท้ายว่า โรงไฟฟ้าถ่ายหินนั้น “ไม่ตอบโจทย์ของจังหวัดกระบี่”
อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้มีการเสนอหนึ่งในแนวทางออกของปัญหาการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในภาคใต้ ด้วยการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเสนอให้กับประชาชน โดยเฉพาะข้อเสนอการสร้างโรงไฟฟ้าที่ได้เตรียมการที่ เกาะกง กัมพูชา ภายใต้เงื่อนไขที่คนไทยและประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากต้นทุนผลิตการผลิตในกัมพูชา ภายในนิคมอุตสาหกรรม บริเวณพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ทางรัฐบาลกัมพูชาได้ให้สิทธิประโยชน์ที่เอื้อต่อการลงทุนมากที่สุดนั่นเอง
ภาพประกอบจากเพจ เครือข่ายคนเทพาคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน