เปิดตำรับยาสมุนไพรไทยต้านโควิด -19 เบาหวาน -หลอดเลือดหัวใจ มาจากคัมภีร์โบราณ ปรับธาตุไฟสร้างสมดุลร่างกาย วอนนายกฯ ผลักดันแพทย์แผนไทยมิติใหม่ ได้ผลจริงหรือไม่ต้องลองพิสูจน์ หลังหมอยาไทยชื่อดังชนะกรมการแพทย์แผนไทยฯ ศาลปกครองสั่งเร่งจดสิทธิภูมิปัญญา
ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาคดีที่นายชัยรัตน์ นนทชัย หรือที่เรียกกันว่า ‘หมอเณร’ ผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนไทย และเจ้าของสวนสมุนไพรไทย เป็นผู้ฟ้องคดี กระทรวงสาธารณสุข ผู้ถูกฟ้องที่ 1 กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก (กระทรวงสาธารณสุข) ผู้ถูกฟ้องที่ 2 กรณีละเลยต่อหน้าที่ ไม่ออกใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนไทย และรับรองสูตรตำรับยาสมุนไพรให้แก่ผู้ฟ้องคดี
โดยศาลปกครองกลาง พิพากษาให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ พิจารณาคำขอจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยของผู้ฟ้องคดี และแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ฟ้องคดีทราบ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
ศาลปกครองกลาง เห็นว่า ผู้ฟ้องคดียื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยเพื่อพิจารณาตำรับยาแผนไทยและตำราการแพทย์แผนไทย อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ในฐานะนายทะเบียนกลาง มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบคำขอจดทะเบียนว่า ผู้ขอจดทะเบียนมีคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามหรือไม่ อย่างไร หากตรวจสอบแล้วเห็นว่า ผู้ขอจดทะเบียนมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนด อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ จะต้องประกาศโฆษณาคำขอจดทะเบียนนั้นโดยไม่ชักช้า ณ สำนักงานทะเบียนและที่ทำการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง
เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ได้มีการพิจารณาคำขอของผู้ฟ้องคดีและมีคำสั่งเป็นประการใด กรณีจึงรับฟังได้ว่า อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ในฐานะนายทะเบียนกลางละเลยต่อหน้าที่ในการพิจารณาคำขอจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยของผู้ฟ้องคดี
ด้านนายชัยรัตน์ หรือ หมอเณร กล่าวภายหลังการเข้ารับฟังคำพิพากษา ว่า “ตุลาการอ่านคำพิพากษาเห็นว่าอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกละเลยการปฏิบัติหน้าที จึงให้ออกใบรับรองตำหรับยา ที่ตนได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง คือ สำหรับยาที่รักษาโรคหัวใจ โรคเบาหวาน 4 ขนาน ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่พิพากษา ตนรู้สึกมีความหวังที่จะอนุรักษ์ภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยต่อไป และเห็นว่าศาลได้คืนความยุติธรรมให้กับตนแล้ว สำคัญกว่านั้นก็คือ การปกป้องอนุรักษ์สมบัติอันล้ำค่าของประเทศไทยให้คู่ควรเมืองคงอยู่สืบไป อีกทั้งจะเป็นการพัฒนาแพทย์แผนไทยที่มีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะตำรับยาของตนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ และคัมภีร์โบราณสามารถรักษาโรคเบาหวานและผ่านไม่ต้องตัดขา และโรคหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงตำรับยาปรับไฟธาตุ ซึ่งจะทำให้ผู้คนไม่เจ็บป่วยได้ง่ายๆ
“โดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 หากคนเรามีไฟธาตุที่ดี สมดุลในร่างกายจะสามารถป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยจากโรคต่างๆ ได้ อีกทั้งยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรมีรายได้จากการปลูกพืชสมุนไพร และจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางรักษาโรคด้วยสมุนไพรไทยระดับโลกในอนาคตอีกด้วย ซึ่งการต่อสู้กับหน่วยงานรัฐโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข และกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ คือบทพิสูจน์ของระบบราชการไทยที่ไม่ส่งเสริมสนับสนุนภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย ซึ่งที่ผ่านมาเราคงได้เห็นบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานรัฐดังกล่าวแล้ว ว่ามีการเลือกปฏิบัติไปสนับสนุนหมอแสงรักษาโรคมะเร็ง หรือแม้แต่เมื่อกว่า 20 ปีทีผ่านมาไปสนับสนุนยาวีวัน ซึ่งไม่สามารถรักษาโรคเอดส์ได้ หรือมะเร็ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องผลประโยชน์มากกว่าการส่งเสริมแพทย์แผนไทยอย่างแท้จริง จึงขอฝากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พิจารณาประเด็นนี้ด้วย เพราะที่ผ่านมามีการนำงบประมาณแผ่นดินไปใช้อย่างไร้ประสิทธิภาพ ถึงเวลาแล้วที่จะช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนสมุนไพร และแพทย์แผนไทยอย่างจริงจังเพื่อให้ผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการรักษาโรคร้ายด้วยสมุนไพรโดยเร็ววัน”