“ปืนไฟ” ในกองทัพไทยที่เคยมีใช้ในกันมาตั้งแต่โบราณนั้นมีมากมายหลากหลายชนิดก็จริง แต่ไอ้ปืนไฟที่เข้าใจผิดและจำสลับกันมากที่สุดก็คือ “ปืนคาบชุด” (Matchlock) กับ “ปืนคาบศิลา” (Flintlock) นี่ล่ะครับ
ประการแรกต้องขอบอกก่อนว่า กองทัพไทยของเราเองนั้นมีปืนไฟเป็นของตัวเองมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว โดยปืนไฟที่เราเคยใช้ในกองทัพนั้นจะเป็นปืนไฟรุ่นเก่าอย่างที่กองทัพจีนใช้มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง ที่เรียกว่า “สินาท” (สีหนาท – Hand cannon) ซึ่งเป็นปืนไฟที่ใช้การจุดสายชนวนเอาอย่างปืนใหญ่ แต่เมื่อกองทัพโปรตุเกสได้เข้าพิชิตเกาะมะละกาในปลายรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ราชสำนักโปรตุเกสจึงได้ส่งคณะราชทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาอย่างเป็นทางการในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดชุมชนชาวโปรตุเกสขึ้นในแผ่นดินไทยสืบต่อมา และครั้นเมื่อเข้าสู่รัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาอันเป็นยุคสมัยที่กรุงศรีอยุธยาเริ่มก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจแห่งภูมิภาคด้วยการทำศึกสงครามเข้ารุกรานดินแดนมอญฝั่งตะวันออกและอาณาจักรล้านนาแล้ว ก็ปรากฏมีนักรบโปรตุเกสจำนวน ๑๒๐ นายจึงได้อาสาเข้ารับใช้ในกองทัพกรุงศรีอยุธยาและกลายเป็นกองทหารอาสาชาติยุโรปพวกแรกในประวัติศาสตร์ไทยนั้นเองซึ่งแน่นอนว่าการเข้ามาประจำการในกองทัพกรุงศรีอยุธยาของพวกโปรตุเกสนั้น พวกเขาก็ได้นำปืนไฟของตนมาขายให้กับกองทัพของเราด้วย โดยปืนไฟที่พวกเขานำมานั้นเป็นปืนคาบชุดนั้นเอง
สำหรับปืนคาบชุดนั้นเป็นปืนไฟที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ ๑๕ ( ช่วงปี ค.ศ. ๑๔๐๐+) แล้ว โดยเอกลักษณ์ของปืนคาบชุดคือเป็นปืนไฟที่ยังใช้ระบบจุดสายชนวนแบบปืนยุคโบราณ แต่ว่ามีการติดตั้งระบบไกยิง (Trigger) แล้วนั่นล่ะครับ จึงทำให้ปืนคาบชุดมีความเสถียรและความแม่นยำในการยิงมากกว่าปืนสีนาทรุ่นเก่า แต่ระบบปืนคาบชุดเริ่มถูกพัฒนาเป็นรูปเป็นร่างจริงๆก็ในช่วงต้นศตวรรษที่ ๑๖ (ช่วงปี ค.ศ.๑๕๐๐) โดยปืนคาบชุดได้กลายมาเป็นอาวุธประจำการหลักในกองทัพกรุงศรีอยุธยา และเหล่าบรรดารัฐต่างๆในอุษาคเนย์เรื่อยมานานกว่าร้อยปีเลยทีเดียว ซึ่งแม้แต่พระแสงปืนข้ามแม่น้ำสะโตงของสมเด็จพระนเรศฯ อันโด่งดังที่ได้กลายมาเป็นหนึ่งในพระแสงราชศาสตราวุธแห่งแผ่นดินก็เป็นปืนคาบชุดด้วยเช่นกัน มิได้เป็นปืนคาบศิลาอย่างที่เราเห็นในภาพยนตร์แต่อย่างใด เพราะกว่าที่ปืนคาบศิลากระบอกแรกจะถูกสร้างในยุโรปเมื่อปี ค.ศ.๑๖๑๐ ซึ่งก็อยู่หลังจากเหตุการณ์แม่น้ำสะโตงไปแล้ว ๒๖ ปี หรือ ๕ ปีหลังจากการสวรรคตของสมเด็จพระนเรศฯ
ส่วนลักษณะเด่นของปืนคาบศิลานั้นค่อนข้างจะชัดเจนอยู่มากทีเดียว เพราะปืนคาบศิลานั้นจะใช้ระบบการจุดชนวนด้วยชุดหินไฟ (Flint) ที่ตีเข้ากับชุดเหล็กไฟจนทำให้เกิดประกายจนนำไปสู่การปะทุดินปืนนั้นเอง จึงทำให้ปืนคาบศิลานั้นมีความเสถียรในการยิงได้มากกว่าปืนคาบชุดมากทีเดียว ซึ่งการปรากฏของปืนคาบศิลาในภูมิภาคอุษาคเนย์นั้นไม่อาจจะประมาณการณ์ได้ชัดเจนนัก แต่เชื่อว่าน่าจะไม่น่าจะนานหลังจากที่มีการประดิษฐ์ใช้ในยุโรปมากนัก เพราะในช่วงศตวรรษที่ ๑๗ นั้นเป็นช่วงที่มหาอำนาจยุโรปกลุ่มต่างๆเริ่มสร้างอาณานิคมอย่างมั่นคงในเอเชียตะวันออกได้เป็นอันมากแล้ว แต่หากถามว่าปืนคาบศิลาถูกนำเข้ามาประจำการในกองทัพกรุงศรีอยุธยาอย่างแน่นอนเมื่อใดนั้น ก็ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดอย่างในกรณีปืนคาบชุดของพวกโปรตุเกส แต่เชื่อได้ว่าปืนคาบศิลาน่าจะถูกนำเข้ามาพร้อมกับพวกฝรั่งเศสที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯนั่นเอง แต่ถึงกระนั้น กองทัพกรุงศรีอยุธยาก็ยังคงมีปืนคาบชุดใช้ควบคู่กับปืนคาบศิลาอยู่ร่วมกันเรื่อยมาจนถึงสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นเลยทีเดียว
เพราะฉะนั้นแล้ว ปืนคาบชุดกับปืนคาบศิลาจึงมิเป็นเพียงปืนคนละชนิดกันเท่านั้น หากแต่ยังเป็นปืนที่พัฒนาการอยู่ห่างกันนับร้อยปีเลยทีเดียวเชียวนั่นแล ท่านทั้งหลาย
เรื่องโดย..ภาสพันธ์ ปานสีดา