สทนช.เผยพายุสารพัดเตรียมเข้าไทย เหนือ-อีสาน รับเต็ม ส.ค. – ต.ค. ส่วนใต้รอบต่อไป พ.ย. – ธ.ค. ขณะที่ “บิ๊กฉัตร” สั่งการพร่องน้ำ 7 เขื่อนเพิ่มพื้นที่รับมือฝนรอบใหม่
นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมการวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์และบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เปิดเผยว่า สภาพอากาศในช่วงวันที่ 24 – 29 ส.ค.61 ร่องมรสุมพาดผ่านประเทศเมียนมา ลาว และเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ผลกระทบจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมต่อเนื่องอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และดินโคลนถล่มได้ ขณะเดียวกัน กรมอุตุนิยมวิทยายังได้คาดว่าจะมีพายุหมุนเขตร้อน ที่เป็นดีเปรสชั่น โซนร้อนและไต้ฝุ่นจะเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย จำนวน 1 – 2 ลูก ในช่วงเดือน ส.ค. – ต.ค.และมีโอกาสสูงที่พายุจะเคลื่อนเข้าสู่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ส่วนในช่วงเดือน พ.ย. – ธ.ค.มีโอกาสที่พายุจะเคลื่อนเข้ามาใกล้หรือเคลื่อนเข้าสู่บริเวณภาคใต้

เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
ทั้งนี้ ขณะนี้มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำเกินร้อยละ 80 ของความจุ รวมถึงมีระดับน้ำเกินเกณฑ์ควบคุม (Upper Rule Curve) มีจำนวน 7 แห่ง ได้แก่ เขื่อนแก่งกระจาน เขื่อนน้ำอูน เขื่อนวชิราลงกรณ เขื่อนขุนด่านปราการชล เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนปราณบุรี และเขื่อนรัชชประภา ขณะที่อ่างเก็บน้ำขนาดกลางความจุมากกว่า 50 ล้าน ลบ.ม.มีปริมาณเกินความจุ 80% มีจำนวน 3 แห่ง โดย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ให้หน่วยงานเกี่ยวข้องทำเตรียมมาตรการรองรับการระบายน้ำเหมือนกับกรณีเขื่อนแก่งกระจานไว้ด้วย ทุกแห่งเพื่อมีพื้นที่ว่างในอ่างรับน้ำฝนรอบใหม่


อย่างไรก็ตาม แม้อ่างเก็บน้ำหลายแห่งจะมีปริมาณน้ำค่อนข้างมาก แต่ก็มีอ่างเก็บน้ำจำนวนไม่น้อยที่มีปริมาณค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ ที่ประชุมจึงได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมและมาตรการรับมือสถานการณ์น้ำน้อยด้วย อาทิ แผนการทำฝนหลวงในพื้นที่อ่างเก็บน้ำมีความจุน้อยกว่า 30% และขอให้เตรียมการจัดทำแผนการส่งน้ำและการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งให้สอดคล้องกับสถานการณ์