รวยๆ เฮงๆ กันไปหลังการค้นพบ “หยกยักษ์” มูลค่ามหาศาล โดยบริษัทเอกชนมีข้อตกลงแบ่งปันประโยชน์ร่วมกันกับรัฐบาลเมียนมา และเตรียมออกชำแหละขายสร้างสีสัน จุดประกายการเติบโตของธุรกิจอัญมณีในเมียนมา
ก็เกรียวกราวกันพอสมควรสำหรับข่าวการเตรียมชำแหละ “หยกยักษ์” ซึ่งทาง สำนักข่าวโกลบอล นิว ไลท์ ออฟ เมียนมาร์ รายงานว่า หยกขนาดยักษ์หนัก 300 ตันซึ่งขุดพบที่เมืองพากัน รัฐคะฉิ่น ทางตอนเหนือของประเทศเมียนมาร์ จะถูกตัดออกเป็นชิ้นและขายในงาน Myanmar’s Gem Emporium ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนธันวาคมนี้ โดยมีผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประทศได้รับคำเชิญให้ประเมินราคาหยกยักษ์ชิ้นนี้
สำหรับหยกยักษ์ชิ้นนี้ขุดพบเมื่อเดือนตุลาคม 2016 ที่เหมือง Mat Lin Chaung ซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรแห่งชาติและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกับบริษัทเอกชนชื่อว่า Yandanar Taung Tann Gems Company หยกชิ้นนี้ถูกนำไปเก็บรักษาไว้ในกรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงของเมียนมา พร้อมการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ซึ่งปัจจุบันมูลค่าพุ่งสูงไปมากกว่า 1 หมื่นล้านจ๊าด (ประมาณ 238 ล้านบาท) โดยรัฐบาลได้จัดเก็บภาษีไปกว่า 2 พันล้านจ๊าด (ประมาณ 48 ล้านบาท)ส่วนรัฐบาลและบริษัทเอกชนนั้นแบ่งปันผลประโยชน์กันอยู่ที่อัตราส่วน 25 ต่อ 75
จากข้อมูลสถิติทางการ เมียนมาร์มีรายได้จากการส่งออกหยกในไตรมาสแรกของปีงบประมาณปัจจุบัน 2017-2018 (ปีงบประมาณเริ่มต้นในเดือนเมษายน) เป็นมูลค่า 23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 751 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณที่แล้วถึง 746,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 24 ล้านบาท)หยกของเมียนมาร์เป็นสินค้าส่งออกหลักไปยังจีนและอินเดีย ซึ่งจีนเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุด ตลอดปีงบประมาณ 2016-2017 เมียนมาร์ส่งออกหยกดิบไปยังตลาดประเทศเพื่อนบ้านมากกว่า 11,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 246.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8 พันล้านบาท)
อย่างไรก็ตามการเตรียมชำแหละหยกยักษ์นี้ออกขายในงาน Myanmar’s Gem Emporium นี้นอกจากจะเป็นที่สนใจของนักค้าอัญมณีจากทั่วโลกและมีมูลค่าที่สูงมากแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสีสันให้กับงานดังกล่าว พร้อมๆ กับการตั้งข้อสังเกตุการนี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของการกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งเกี่ยวกับธุรกิจอัญมณีของเมียนมา โดยมีหยกยักษ์เป็นปัจจัยในการจุดประกาย หลังก่อนหน้านี้เพื่อนบ้านอย่างประเทศไทย มีนโยบายเกี่ยวกับส่งเสริมธุรกิจส่งออกอัญมณี ที่เป็นแหล่งที่มารายได้เข้าอันดับต้นๆ ของประเทศ
ภาพประกอบข่าวจาก https://www.mmbiztoday.com และ http://www.onbnews.com/post/6459