ลพบุรีพาทัวร์งานสมุนไพรพร้อมพัฒนาครบวงจร

เกษตรฯลพบุรี ติดปีกสุมนไพรไทยเดินสายดูงาน เสริมแกร่งเกษตรลพบุรี พาไปศึกษา ดูงานสมุนไพรไทย เจาะลึกในแบบต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ

Advertisement

สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดลพบุรี เดินหน้าเสริมแกร่งเกษตรกรลพบุรี เรื่องสมุนไพรไทย ในกิจกรรมพัฒนาศักยภาพการรวมกลุ่มผลิตพืชสมุนไพรเพื่อสุขภาพภายใต้โครงการพัฒนาคลัสเตอร์สมุนไพรดูแลสุขภาพครบวงจรตามแผนปฏิบัติราชการจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ด้วยการพาเกษตรกรไปศึกษาดูงานจังหวัดนครปฐม จังหวัดราชบุรี และจังหวัดเพชรบุรี ในหัวข้อ
“พัฒนาทักษะการบริหารจัดการแบบกลุ่มผลิตพืชสมุนไพรเพื่อสุขภาพ”


นายธนวัฒน์ สารสิน นักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการ สำนักงานเกษตรกรและสหกรณ์จังหวัดลพบุรี

นายธนวัฒน์ สารสิน นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดลพบุรี กล่าวว่า
โครงการพัฒนาคลัสเตอร์สมุนไพรดูแลสุขภาพครบวงจร เกิดขึ้นหลังจากที่เกิดโรคอุบัติใหม่หรือโควิดที่ผ่านมา ทำให้ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เล็งเห็นว่า เกษตรกรสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเกษตรกรเองได้ แม้จะได้รับผลกระทบจากโรคอุบัติใหม่โดยตรง

“หลังจากที่เราสามารถผลิตพืชอาหารเพื่อบริโภค สร้างความมั่นคงด้านอาหารแล้ว เราก็อยากสร้างความมั่นคงและป้องกันในเรื่องของสุขภาพด้วย ก็เลยอยากส่งเสริมในเรื่องสุขภาพ จึงเกิดโครงการพัฒนาทักษะการบริหารจัดการแบบกลุ่มผลิตพืชสมุนไพรเพื่อสุขภาพขึ้นมา
อย่างน้อย ก็มีเกษตรกรที่ใช้สมุนไพรที่มีอยู่ในครัวเรือนเป็นยาป้องกันและรักษาโรคโดยไม่ต้องพึ่งพายาจากภายนอก ซึ่งสถานการณ์ตอนนั้นมันค่อนข้างจะจำกัด ก็เลยอาศัยสมุนไพรในครัวเรือนเข้ามาเป็นตัวป้องกันและรักษาโรคเบื้องต้นไปก่อน หลังจากนั้นเกษตรกรรายไหนสามารถนำสมุนไพรไทยมาต่อยอดสร้างเป็นอาชีพ ต่อยอดเป็นเชิงธุรกิจก็สามารถเอาตัวสมุนไพรตัวนี้ไปสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นการสร้างรายได้ ซึ่งปลายทางของเราจริง ๆ มีสองทางต้องเดินคู่กัน คือการสร้างความเชื่อมั่นและการป้องกันโรคอุบัติใหม่ ไม่แน่ในอนาคตอาจมีโรคอุบัติใหม่ขึ้นมาอีกก็ได้”

นายธนวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จังหวัดลพบุรี จะส่งเสริมในเรื่องตัวยาสมุนไพรห้าราก (รากคนทา , รากชิงชี่ , รากเท้ายายม่อม , รากมะเดื่อชุมพร รากย่านาง ) ซึ่งสมุนไพรกลุ่มนี้สามารถเป็นยาป้องกันโรคอุบัติใหม่ได้ ซึ่งต่างชาติ ไม่รู้แต่คนไทยเรามียาตัวนี้อยู่ซึ่งสามารถป้องกันโรคอุบัติใหม่ได้ อีกทางหนึ่งเราพยายามจะเชื่อมโยง
ตัววัตถุดิบเข้าสู่แหล่งที่สร้างมูลค่ากับสมุนไพรได้

และสุดท้ายสิ่งที่สำคัญของโครงการนี้ก็คือ “การยกระดับตัวเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นไม่ว่าจะทางด้าน สุขภาพ การเงินและความมั่นคงชีวิต”

นายธนวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ในระยะเวลา 3 วันของการไปศึกษาดูงานในครั้งนี้ว่า

1.ได้มาศึกษาดูงานในสถานที่ต้นน้ำของการผลิตสมุนไพรที่ อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ จังหวัดนครปฐม เราจะได้เรียนรู้ว่าจะมีวิธีการปลูกพืชสมุนไพรยังไง และผลิตพืชสมุนไพรชนิดไหนที่เหมาะสมกับพื้นที่ลพบุรีของเรา ผลิตแล้วจะสามารถเอาไปแปรรูปเป็นยารักษาโรคได้อย่างไร และจะสามรถสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยวิธีไหน

2. ศึกษาดูงานในสถานที่เป็นกลางน้ำของสมุนไพรที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกพืช
สมุนไพรด่านทับตะโก ต.ด่านทับตะโก อ. จอมบึง จ.ราชบุรี รับฟังการบรรยายเรื่อง “
“การบริหารจัดการพืชสมุนไพรเพื่อสุขภาพตลอดห่วงโซ่อุปทาน”

ศึกษาดูงาน วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านพัฒนาสมุนไพรไทยชุมชนบ้านห้วยทรายเหนือ ต.ชะอำ
อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี รับฟังการบรรยายเรื่อง “การพัฒนาสมุนไพรพื้นบ้าน หรือสมุนไพร
ไทย จากภูมิปัญญาของชาวบ้าน เอามาเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ของสินค้าอุปโภคและบริโภคต่อชีวิตประจำวัน”

ซึ่งกลุ่มวิสาหกิจทั้งสองที่นี้เขาสามารถแปรรูปสมุนไพรขั้นต้นให้เป็นยาสมุนไพรต่าง ๆ ในการรักษาโรคได้ ไม่ว่าจะเป็นไอไข้หวัด เรื่องระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เขาสามารถหยิบใช้สมุนไพรที่มีในครัวเรือนมารักษาโรคต่าง ๆ ได้

3.ศึกษาดูงานที่เป็นปลายน้ำของสมุนไพรไทย ที่บริษัทแก้วมังกรเภสัช จำกัด ต.ดอนกระเบื้อง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ซึ่งปลายทางของสมุนไพรไทยทำอย่างไรถึงจะเชื่อมโยงวัตถุดิบของเราเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรมได้
“คือเราจะมองตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง และมองหาตลาดด้วยซึ่งตรงนี้คือเรื่องสำคัญ ที่เราได้ในการมาศึกษาดูงานทั้ง 3 วันในครั้งนี้”นายธนวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย

นายสมเจตน์ กาญจนประทุม เกษตรกร ต. ป่าตาล อ. เมือง จ. ลพบุรี เกษตรปลูกพืชผสมผสานไม้ผล ผักพื้นบ้าน และประธานเกษตรกรตลาดลพบุรี ที่ช่วยดูแลเกษตรกรวางแผนผลิต ดูแลพื้นที่การจำหน่ายตามแต่พื้นที่บุคคล ได้สะท้อนปัญหาของเกษตรกรลพบุรีว่า

“ปัญหาหลักของเกษตรกรลพบุรีคือไม่มีทิศทางการตลาดที่ชัดเจน ไม่ทราบว่าจะผลิตอะไรเมื่อไหร่ ปริมาณเท่าไหร่ และจะนำไปจำหน่ายที่ไหน การผลิตที่ไม่สอดคล้องกับการตลาด การปรับตัวกับสภาพอากาศ”
นายสมเจตน์ กล่าวย้ำว่าเกษตรกรที่ดีต้องพร้อมที่จะปรับตัวปรับเปลี่ยน ต้องมีความมุมานะหาข้อมูลใหม่ ๆ พร้อมที่จะปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
“การวางแผนการผลิตคือจุดอ่อนของเกษตรกรไทย เพราะเกษตรกรไทยยังไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐศาสตร์พื้นฐานง่าย ๆ นั่นก็คือเรื่องอุปสงค์และอุปทาน( demand and supply)”

นายชาลี น้อยสอาด ปราชญ์ชาวบ้าน วิทยากร ต. ชะอำ อ. ชะอำ จ. เพชรบุรี เผยเคล็ดลับการปลูกพืชให้ได้ผลสัมฤทธิ์แบบง่าย ๆ ว่า


“การปลูกหญ้าแฝกของในหลวง ซี่งมีประโยชน์แบบคาดไม่ถึง ซึ่งรากของหญ้าแฝกจะมีความลึกประมาณ 3-4 เมตร สามารถทำให้ดินมันฟื้นฟูได้ดี เลยไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีในการปลูกพืช หลังจากนั้นก็เกี่ยวใบมาคลุมพื้นที่เราปลูกพืชไว้ เวลาเกิดฟ้าผ่าจะเกิดในโตรเจนแทรกซึมไปในรากหญ้าแฝก มันจะสะสมในโตรเจนไว้ใน 5 ตร.กม. จะมีในโตรโตเจจนสะสมในดิน 4 ตร.กม./ไร่”