ผลสำรวจจากสำนักสามเสนโพลระบุ ประชาชนส่วนใหญ่หนุนพ่อค้ารวมตัวกันเป็นเครือข่าย สร้างอำนาจความแข็งแกร่งเผชิญหน้าสภาวะเศรษฐกิจ แถมยังมั่นใจว่าเป็นประโยชน์กับชุมชน
จากการสำรวจความคิดประชาชน โดยสำนักสามเสนโพล ในหัวข้อ “สายตาคนไทย- กระเทาะใจพ่อค้าไทย 2566” ในครั้งนี้ระหว่างวันที่ 1-8 มิถุนายน 2566 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ที่ตอบแบบสอบถามจะมีการศึกษาระดับปริญญาตรีจำนวนสูงร้อยละ 34 ส่วนใหญ่ที่ผู้ตอบแบบสอบถามจะมีรายได้อยู่ระหว่าง10,001 ถึง20,000บาทต่อเดือนและ ร้อยละ 33 เป็นผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่จะมีอายุระหว่าง 41 ถึง 50 ปีในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวสามารถสะท้อนให้เห็นแนวคิดผู้ตอบแบบสอบถามในความคิดเห็นต่อพ่อค้าไทยในสายตาประชาชนในห้วงกระแสการเมืองและเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
โดยผลจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามพบว่าผู้ให้คำตอบส่วนใหญ่เห็นด้วยพ่อค้าไทยในปัจจุบันควรมีการรวมตัวกันในรูปแบบเครือข่ายสูงถึง 67 % สอดรับกับการสัมภาษณ์ว่าการรวมตัวเครือข่ายพ่อค้าไทยจะสามารถช่วยกันได้โดยเฉพาะการเมืองและเศรษฐกิจช่วงนี้มีความไม่แน่นอน ส่วนคำถามถึงลักษณะพ่อค้าไทยในยุคที่กระแสดิจิทัลที่มาแรงควรจะเป็นอย่างไรมีผู้ตอบแบบสอบถามเฉลี่ยสูงเกินร้อยละ32 ว่าควรต้องซื่อสัตย์ สุจริตในการประกอบการอาชีพ ร้อยละ 27 พบว่า ควรร่วมมือทำธุรกิจแบบเครือข่าย ร้อยละ 15 พบว่า ต้องตั้งใจทำงานมากขึ้น ร้อยละ 15 พบว่า ควรเก็บเงิน/อดออมเพราะเศรษฐกิจช่วงนี้ไม่แน่นอน
สอดคล้องจากการสัมภาษณ์เชิงลึกประเด็นซื่อสัตย์สุจริตของพ่อค้าไทยพบว่าผู้ตอบยังไม่มั่นใจความซื่อสัตย์สุจริตของพ่อค้าไทยโดยเฉพาะการทำธุรกิจประเภทออนไลน์ ส่วนประเด็นพ่อค้าไทยมีประโยชน์ต่อชุมชนหรือไม่พบว่าสูงถึงร้อยละ 54 พบว่ามีประโยชน์และร้อยละ 27 มีประโยชน์อย่างมาก ร้อยละ 14 บอกว่า เฉยๆและร้อยละ 5 บอกว่า ไม่มีประโยชน์ตามลำดับ
จากคำตอบดังกล่าวเป็นสัญญาณยืนยันถึงการค้าขายในชุมชนว่าบทบาทพ่อค้าไทยในชุนชนมีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและยังเป็นตัวเลขยืนยันว่าความใกล้ชิดของประชาชนกับพ่อค้าไทยในชุมชนยังเป็นเชิงบวกถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีหากจะมีพ่อค้าต่างประเทศมาแข่งขันธุรกิจในชุมชนในอนาคต ประชาชนและชุมชนยังคงใช้บริการต่างๆจากธุรกิจพ่อค้าไทย ในประเด็นที่สำคัญว่าหากมีสมาคมหรือเครือข่ายที่เกี่ยวข้องพ่อค้าไทยคิดว่าจะมีประโยชน์ต่อชุมชนและประเทศไทยหรือไม่พบว่าสูงถึงร้อยละ 36 พบว่าควรมีเพราะเป็นแหล่งทุนในการทำธุรกิจ ร้อยละ 29 มีควรมีเพราะจะมีเครือข่าย ร้อยละ 21 บอกว่า ควรมีอย่างมากตามลำดับ