ไปอีกหนึ่ง!! อดีตรองหัวหน้าพรรคและสมาชิกคนสำคัญในพรรคประชาธิปัตย์ประกาศไขก๊อกยื่นหนังสือลาออก อ้างเหตุผลแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ย้ำเตือน “อย่าให้พรรคช้ำจนไม่เหลือชื่อประชาธิปัตย์ ถ้าไม่เปลี่ยนก็จะไม่เหลือพรรค”
จากกระแสข่าวความอื้อฉาวที่เกิดขึ้นกับผู้บริหารระดับสูงของพรรคประชาธิปัตย์ ส่งผลให้สมาชิกพรรคคนสำคัญๆ หลายคน เริ่มวิตกกังวลถึงภาพลักษณ์ของพรรค และเป็นที่มาของการประกาศลาออกจากพรรค ล่าสุดนายวิทยา แก้วภราดัย อดีตรองหัวหน้าพรรคและอดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์หลายสมัย เป็นอีกหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญและเคยดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ของพรรคได้ออกมาเปิดเผยถึงการยื่นหนังสือลาออกจากพรรคเป็นที่เรียบร้อย โดยระบุว่า “ได้ยื่นลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ต่อเจ้าหน้าที่พรรคเรียบร้อยแล้วเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (22 เม.ย.) โดยไม่ได้พูดคุยกับใครในพรรค มีเพียงนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค และฝากให้ช่วยเรียนนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และอดีตหัวหน้าพรรค ในฐานะที่เป็นผู้ใหญของพรรคด้วย

โดยสาเหตุของการลาออกในครั้งนี้ นายวิทยาระบุว่า “อยู่พรรคการเมืองมาหลายพรรค แต่อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์นานที่สุดในชีวิตการเมือง และที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์หลายอย่างขึ้นในพรรค โดยเฉพาะกรณีนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรค ที่สร้างความเสียหายให้กับพรรค ซึ่งตนอยากให้กรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคแสดงความรับผิดชอบ และแสดงสปิริตกับเรื่องที่เกิดขึ้นให้มากกว่านี้ เพราะเรื่องมาตรฐานจริยธรรมต้องสูงกว่ากฎหมาย พรรคไม่ผิด แต่มีคนผิด ดังนั้นต้องมีคนรับผิดชอบ
เนื่องจาก กก.บห.ชุดนี้เป็นคนชักจูงนายปริญญ์เข้ามาอยู่ในพรรค ถือเป็นความรับผิดชอบทางการเมืองต่อประชาชน จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็จะไม่เหลือพรรค และส่วนตัวยังคงรักพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตนพร้อมกลับมาหากมีการเปลี่ยนแปลง และขอย้ำว่าการตัดสินใจลาออกครั้งนี้เป็นเรื่องภาพลักษณ์และความรู้สึกของประชาชนล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับว่าพรรคจะไม่ส่งตนลงผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.นครศรีธรรมราช เพราะตนมีชื่อลงสมัครอยู่แล้ว
นอกจากนี้ นายวิทยายังกล่าวถึงภาพลักษณ์และอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์อีกด้วยว่า “อย่าให้พรรคช้ำจนไม่เหลือชื่อประชาธิปัตย์ ถ้าไม่เปลี่ยนก็จะไม่เหลือพรรค คำว่าประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นแบบนี้ เพราะถูกสอนมาว่าต้องรู้จักรับผิดชอบต่อสังคม และความรู้สึกของประชาชน ไม่ใช่เกาะเกี่ยวเหนียวติดอยู่กับตำแหน่ง ถูกฝึกมาอย่างนั้น พรรคเป็นของทุกคน พรรคก็เป็นของตน แต่ตนต้องหาคนรับผิดชอบให้ได้ เมื่อไม่มีใครรับผิดชอบ ตนต้องเลือกปกป้องพรรค และผู้บริหารพรรคควรแสดงสปิริตลาออกทั้งคณะ เพื่อแสดงความรับผิดชอบ ควรคิดแบบนั้น เพราะพรรคถูกทำร้าย พรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันการเมืองมายาวนาน ตนอยากเห็นพรรคอยู่ต่อไปได้ แต่เมื่อคนในพรรคทำผิด ผู้บริหารพรรคก็ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะสมัยที่ตนเป็น รมว.สาธารณสุข เคยถูกพาดพิงก็แสดงความรับผิดชอบ ตนเป็น ส.ส.มา 30 กว่าปี อยู่มาหลายพรรค และคิดว่าจะอยู่พรรคประชาธิปัตย์นานที่สุด ใครก็อิจฉา แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ประชาชนที่เป็นเจ้าของพรรคจะคิดอย่างไร จึงเป็นสาเหตุทำให้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคครั้งนี้
ส่วนจะตัดสินใจไปร่วมงานการเมืองกับพรรคไหนนั้น ยังไม่ได้ตัดสินใจ ตอนนี้ขออยู่นิ่งๆ ก่อน แต่คิดว่าตัวเองยังมีน้ำยา การจะไปร่วมงานกับพรรคไหนต่อไป ตนมองว่าต้องเป็นคนที่พร้อมเสียสละเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง ทั้งนี้ยอมรับว่าที่ผ่านมาก็มีคนเข้ามาพูดคุยทาบทามไปร่วมงานด้วยหลายคน แต่ตนยังไม่ได้ตัดสินใจ เพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลาตัดสินใจ”