เมื่อเชียงใหม่เรียกร้องอยากได้ผู้ว่าราชการจังหวัดมาจากการเลือกตั้งเหมือนกรุงเทพฯ

เปิดแถลงการณ์ภาคีเครือข่ายรณรงค์เลือกตั้งผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 มาตรา4 เน้นย้ำ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล  ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน อยากได้ผู้ว่าฯมาจาการเลือกตั้ง

Advertisement

ขณะที่บรรยากกาศการหาเสียงของผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกำลังคึกคัก ในจังหวัดเชียงใหม่ที่ถูกขนานนามเป็นเมืองหลวงของภาคเหนือก็กำลังลุกขึ้นมาต่อสู้เกี่ยวกับการได้รับสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เช่นเดียวกัน

โดยภาคีเครือข่ายรณรงค์เลือกตั้งผู้ว่าฯเชียงใหม่ ออกคำแถลงเรื่องการรณรงค์เลือกตั้งผู้ว่าฯ เชียงใหม่” ฉบับที่ 1 โดยหยิบยกประเด็นจากรัฐธรรมนูญ ในเรื่องของ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองปวงชนชาวไทยย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน” มาตรา 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ พ.ศ. 2560 พร้อมติดแฮชแทค #กระจายอำนาจ #ยุติราชการรวมศูนย์

โดยแถลงการณ์ดังกล่าวคำระบุว่า “กราบเรียนพี่น้องประชาชนชาวเชียงใหม่ที่เคารพรักยิ่ง การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่จะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2565 นี้ นอกจากจะเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีที่ชาวกรุงเทพฯ ได้กลับมามีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯของตนเองอีกครั้ง ยังเกิดคำถามสำคัญที่ยิ่งต่อพี่น้องประชาชนชาวเชียงใหม่และต่างจังหวัดว่าในเมื่อกรุงเทพฯเป็นจังหวัดหนึ่ง และเชียงใหม่ก็เป็นจังหวัดหนึ่งเช่นกัน พี่น้องคนกรุงเทพฯ เป็นคนไทย คนเชียงใหม่ก็เป็นคนไทย คนกรุงเทพฯ เสียภาษีอากร คนเชียงใหม่และคนต่างจังหวัดอื่นๆ ก็เสียภาษีอากรเหมือนกัน รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน และทุกๆฉบับที่ผ่านมา ล้วนระบุชัดเจนว่าคนไทยทุกคนมีความเป็นมนุษย์ และมีสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคเท่าเทียมกัน แต่เหตุใดคนเชียงใหม่กลับไม่มีสิทธิในการเลือกตั้งผู้ว่าฯของตนเอง

ที่ผ่านมา นับตั้งแต่ พ.ศ.2518 คนเชียงใหม่ส่วนหนึ่งได้เริ่มเรียกร้องขอมีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯของตนเองและการเรียกร้องก็ได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ไม่เคยมีข่าวว่ามีการรณรงค์เลือกตั้งผู้ว่าฯ ที่กรุงเทพฯ แต่แล้ว รัฐบาลไทยในอดีตกลับจัดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ 10 สิงหาคม พ.ศ.2518

ท่ามกลางปัญหาจราจรที่ติดขัดมากขึ้นๆ เพราะเชียงใหม่ ที่เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศกลับไม่มีระบบรถไฟฟ้า รถราง หรือแม้แต่รถเมล์ ตัวเมืองเชียงใหม่มีสถาบันอุดมศึกษามากถึง 1! แห่ง มีโรงเรียนมัธยมชั้นนำนับ 10 แห่งศูนย์การค้าขนาดใหญ่ราว 9 แห่ง มีโรงเรียนนานาชาติถึง 10 กว่าแห่ง เชียงใหม่กลายเป็นเมืองโตเดี่ยวระดับภาค หรือที่เรียกว่าเอกนครระดับภาคที่รวมศูนย์ความเจริญไว้ทุกๆ ด้าน แตกต่างจากอำเภอรอบๆ ราวฟ้ากับเหว และทุกๆ ช่วงต้นปีเชียงใหม่ต้องเผชิญปัญหาไฟป่าหมอกควัน ส่งผลกระทบต่อคนเชียงใหม่และต่อธุรกิจการท่องเที่ยวอันเป็นเส้นเลือดสำคัญที่นับวันรุนแรงยิ่งขึ้น

ท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุที่กล่าวมา พร้อมกับระบบเทคโนโลยีข่าวสารอันสุดแสน/ทันสมัย ระบบการบริหารของจังหวัดกลับสุดแสนล้าหลัง ผู้ว่าฯอายุ 59 ปี มาจากการแต่งตั้งที่คนเชียงใหม่ 1.7 ล้านคนไม่รู้จัก มาบริหาร 1 ปี ก็เกษียณอายุ เป็นเช่นนี้ปีแล้วปีเล่า ขณะที่ปัญหาต่างๆ ของ 25 อำเภอในจังหวัดหนักหน่วงขึ้นทุกวันๆ ปัญหาพืชผล ข้าวเหนียว หอม กระเทียม ลำไย ลิ้นจี่ ฯลฯ ราคาตก ธุรกิจแต่ละด้านซบเซามาหลายปี ระบบการบริหารจังหวัดที่ล้าสมัยจึงไม่อาจแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้เลย

พี่น้องประชาชนชาวเชียงใหม่ที่เคารพรักยิ่ง องค์กรต่างๆ ที่กล่าวนามข้างล่างนี้ได้ร่วมประชุมปรึกษาหารือกันและเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องร่วมมือร่วมใจกันรณรงค์เพื่อให้คนเชียงใหม่ทั้งจังหวัดมองเห็นต้นตอของปัญหาเหล่านี้ ได้เวลาที่ผู้ว่าฯเชียงใหม่จะต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน มาหาเสียงกับประชาชน เสนอนโยบายและมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ของคนเชียงใหม่และบ้านเมืองของเขา

ต่อจากนี้ไป เราจะร่วมกันรณรงค์เพื่อนำเสนอปัญหาต่างๆ และทางออกของปัญหานี้ และเราเชื่อว่ายังจะมีองค์กรอีกมากมายที่จะมาร่วมงานกับเรา เพื่อแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง เราขอแสดงความยินดีกับพี่น้องคนกรุงเทพฯ และเราหวังว่าพวกท่านจะช่วยสนับสนุนการรณรงค์ของเราด้วย”