ได้รับการยืนยันบทสรุปของการพิจารณาแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตามโครงสร้างใหม่ จากคำให้สัมภาษณ์สื่อของ อจ.เสรี สุวรรณภานนท์ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปท.
ว่า ที่มาของการตั้งผบ.ตร.ใหม่ จะต้องกลับไปใช้หลักเกณฑ์ดั้งเดิม โดยดึงอำนาจการคัดสรรจาก ก.ตช. มาเป็นอำนาจของ ก.ตร.เหมือนของเดิมที่เคยปฏิบัติมา
คณะกรรมการ ก.ตร.จะคัดรายชื่อ รอ ผบ.ตร.และจเรตำรวจแห่งชาติ จำนวน 3 รายขื่อ เป็น 3 แคนดิเดท แล้วให้ผบ.ตร.ที่ดำรงตำแหน่งอยู่นำรานขื่อทั้งส่ามคน เสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา หากเลือกใคร คนนั้นจะได้เลื่อนเป็นผบ.ตร.คนต่อไป
แต่หากนายกฯไม่ปลื้มใครเลยทั้งสามคน ผบ.ตร.ต้องนำกลับมาเข้าประชุม ก.ตร.เพื่อพิจารณาคัดสรรรายชื่อใหม่
วิธีนี้ อ้างว่า จะหลุดพ้นจากขั้วอำนาจทางการเมือง ไม่สามารถครอบงำการแต่งตั้งได้
ประเด็นนี้เอง ส่งผลให้รายการข่าวยอดฮิต ทางสถานีทีวีดิจิตอล “สปริงนิวส์” นำไป กล่าวถึงอย่างน่าสนใจ
มีการสัมภาษณ์อดีต ผบ.ตร.ท่านหนึ่ง ว่า เห็นด้วยกับที่มาเรื่องนี้หรือไม่?
อดีตผบ.ตร.ท่านนี้ กล่าวในฐานะกูรูคนที่เคยจัดทำโผโยกย้ายตำรวจกว่าสองแสนชีวิตมาแล้ว
ยืนยันฟันธง!!..
ไม่สามารถหลุดพ้นจากการครอบงำทางการเมืองได้ เหตุเพราะนายกรัฐมนตรีเป็นนายโดยตรงมีอำนาจตั้งและปลดผบ.ตร.ได้
นายกฯจึงกำหนดผบ.ตร.คนใหม่ได้ โดยการล็อคเป้า ดังนั้นการที่ ก.ตร.คัดสรรผู้เหมาะสมมา 3 แคนดิเดทเสนอมาให้พิจารณา ในจำนวนนี้ จำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องมีคนในดวงใจ ตามโรดแมปของนายกฯ
มีรึ การเสนอชื่อ 3 แคนดิเดท จะกล้าไม่กำหนดชื่อคนในดวงใจ ใครกล้าขัดใจ วังวนเดิม จึงกลับมา นั่นคือการครอบงำจากขั้วอำนาจใหญ่ทางการเมือง ทางที่ดีการตั้ง ผบ.ตร.ควรใช้หลักการเดียวกับการตั้งผู้พิพากษาหัวหน้าศาล มีขั้นมีตอน มีหลักอาวุโสชัดเจน
เมื่อผู้มีอำนาจทางการเมือง เลือกเฟ้น ตั้ง ผบ.ตร.ได้ ทำไมจะล้วงลูกตำแหน่งรองๆลงมาไม่ได้..ล้วนแต่ชี้นิ้วได้แน่นอน เพราะบัญชีรายชื่อต้องนำส่งให้พิจารณาทั้งหมด หากนายกฯไม่เห็นชอบ สามารถแบนทั้งบัญชี ต้องเด้งลงมาแก้ไขสนองอำนาจอยู่ดี.
เรื่องโดย..อิทธิเดช ลุย (คาดเชือก)
ภาพ..อินเตอร์เน็ต