เศรษฐกิจไทยสาหัส!ส่งออกติดลบ-จีดีพีโตต่ำ-ดัชนีเชื่อมั่นหดรอรบ.ใหม่แก้

ม.หอการค้าไทย เผยดัชนีเชื่อมั่นปรับตัวต่ำสุดเป็นครั้งแรก เศรษฐกิจไทยถึงจุดพีค ส่งออกติดลบ-จีดีพีหดต่ำ3.5%ภาคเอกชนกระตุ้นให้การเมืองนิ่งหวังฟื้นภาพความเชื่อมั่น

Advertisement

ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นโดยหอการค้าไทยประจำเดือนเม.ย. 2562 พบเป็นครั้งแรกที่ดัชนีดังกล่าวปรับตัวลดลงต่ำกว่า 50 จุด เป็นการปรับตัวต่ำสุดในรอบหลายเดือนเดือน เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวล เกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีการฟื้นตัวช้า และกำลังซื้อของภาคประชาชนที่ยังฟื้นตัวไม่มากนัก รวมถึงสถานการณ์ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลก

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุถึงผลสำรวจดังกล่าวว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 375 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 29 เม.ย.-6 พ.ค. 2562 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย อยู่ที่ 46 ส่วนการคาดการณ์ในอนาคตอยู่ที่ 49.6 เป็นครั้งแรกที่มีการปรับตัวต่ำกว่า 50 จุดทั้งปัจจุบันและอนาคต

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

ซึ่งดัชนีดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจเข้าสู่ช่วงเวลาของขาลง โดยมีผลตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา จากปัจจัยทางเรื่องของการเมืองไม่นิ่ง และผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งเห็นได้จากการประเมินของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เศรษฐกิจไทย ในไตรมาส 1 จีดีพีอยู่ที่ 2.8% ทำให้ศูนย์พยากรณ์ฯ ประเมินไตรมาส 2 น่าจะเติบโตได้ที่ 3-3.2% ทำให้ครึ่งปีแรกของโตอยู่ที่ประมาณ 2.8-3% ขณะที่ครึ่งปีหลังมองว่าหากไม่สามารถทำให้เติบโตได้ที่ 4% ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2562 โตไม่ถึง 3.5% โดยอยู่ภายใต้การคาดการณ์ปัจจัยของสงครามการค้าที่ไม่รุนแรง

ภาพประกอบข่าวจากแฟ้ม

ในขณะที่ภาคการส่งออกมีแนวโน้มติดลบ และคาดว่ามีเม็ดเงินหายไปราว 1.5-2 แสนล้านบาท ซึ่งภาครัฐควรเร่งอัดฉีดงบปกครองส่วนท้องถิ่นกว่า 1 แสนล้านบาท เข้าไปเติมในระบบ การเร่งโครงการโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดการลงทุนรับเหมาก่อสร้าง การบริหารค่าเงินบาทให้ใกล้เคียงระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองกระจายเม็ดเงินเข้าสู่ท้องถิ่น แต่เศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้จากภาคการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามากว่า 40 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจอยากทุกฝ่ายร่วมกันทำให้การเมืองนิ่ง เร่งจัดตั้งรัฐบาล เพื่อออกนโยบายขับเคลื่อนกลไกการพัฒนาเศรษฐกิจ และควรมีมาตรการใหม่ๆ ที่จะมาช่วยเศรษฐกิจ โดยเป็นการกระตุ้นอย่างยั่งยืนและเห็นผลได้ชัดเจน  ผลักดันให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่องโดยผู้ประกอบการคาดหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่ต้องการให้เกิดการ พัฒนาระบบคมนาคมเพื่อยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ เร่งสร้างผลงานให้เกิดขึ้นตามที่ได้หาเสียงไว้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักลงทุนต่างชาติกำหนดทิศทางนโยบาย และแนวทางปฏิบัติของประเทศให้มีเสถียรภาพ  รวมถึงการแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือนและขจัดปัญหาความยากจนของประชาชน โดยคาดว่าทุกอย่างจะมีความชัดเจนมากขึ้นในเดือนต.ค. หลังจากการจัดตั้งรัฐบาลและได้นายกรัฐมนตรี