“ออมสิน”คาดการณ์ศก.ไทยปี 62 หั่นจีดีพี จาก 4.2 %เหลือ 4.0%

สู่ยุคเศรษฐกิจ 4.0 ?!!  เมื่อศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจ และเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน คาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจลดลงจาก 4.2 เหลือ 4.0 ในปี 2562

Advertisement

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจ และเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสินคาดการณ์ตัวเลขขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปี 2562 จะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 4.0 ลดลงจากปี 2561 ที่คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.2 เป็นผลจากการลงทุนและมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

ทั้งนี้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2562   มีปัจจัยสนับสนุนจาก เม็ดเงินจากมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐวงเงิน 38,730 ล้านบาท ที่เริ่มทยอยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในเดือน ธ.ค. 61 ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายประชาชนฐานราก และการลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากการเบิกจ่ายงบลงทุนตามงบประมาณประจำปี 2562 รวมถึง โครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่หลายโครงการมีความคืบหน้าได้รับการอนุมัติการลงทุนแล้วและคาดว่าจะเร่งก่อสร้างในปี 2562

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน

ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงขยายตัวได้เนื่องจากประเทศไทยยังเป็นเป้าหมายการพักผ่อนของนักท่องเที่ยวทั่วโลก นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่งผลดีต่อต้นทุนภาคการผลิตและการขนส่งชดเชยต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2562 ได้แก่ การส่งออกสินค้าอาจได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และการเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐอาจต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดไว้เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่มีความซับซ้อนด้านกระบวนการ

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 7 ปี ของธนาคารแห่งประเทศไทย ในระยะแรกจะส่งผลให้คุณภาพสินเชื่อและการบริโภคของประชาชนชะลอตัว และ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอย่างต่อเนื่องและแรงส่งจากมาตรการปรับลดภาษีรายได้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะมีกำลังอ่อนลงส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ รวมถึง การดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางประเทศเศรษฐกิจหลัก ส่งผลให้ตลาดการเงินมีความผันผวนมากยิ่งขึ้นและอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงินของไทย

ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี จากดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุล ซึ่งเป็นผลจากการเกินดุลการค้าและบริการ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอตัวจากแรงกดดันของราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับเพิ่มอย่างช้าๆ ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามยังคงมีแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ประกอบกับธนาคารแห่งประเทศไทยลดระดับดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายลงเล็กน้อย รวมถึงการออกมาตรการ Macro Prudential เพื่อจำกัดความเสี่ยงเฉพาะจุด เช่น มาตรการกำกับในภาคอสังหาริมทรัพย์ มาตรการสินเชื่ออุปโภคบริโภค ทั้งบัตรเครดิตและจำนำทะเบียนรถ การกำกับดูแลสหกรณ์ที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน และเป็นผลดีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว