เอกชนข้องใจ เหตุใด ปภ. เลือกทดสอบเครื่องตรวจจับความเร็วในบางประเด็น รองอธิบดี ปภ. ยืนยันทุกอย่างโปร่งใส หากคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ เผยที่ต้องเร่งรัดเพราะเตรียมส่งมอบอุปกรณ์ให้ ตร.ทางหลวง ใช้ทันเทศกาลปีใหม่นี้
นายปิยะ วงศ์ลือชา รองอธิบดี กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พร้อมด้วย นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกำหนดสเปคเครื่องตรวจวัดความเร็วแบบพกพา ในฐานะตัวแทนภาคประชาสังคม, ตัวแทนตำรวจทางหลวง ในฐานะผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องใช้เครื่องมือดังกล่าว รวมถึงคณะผู้บริหารของ ปภ. เข้าร่วมสังเกตุการณ์การทดสอบตัวอย่างเครื่องตรวจวัดความเร็วแบบพกพาครั้งที่ 3 บริเวณทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 347 (ตรงข้ามศูนย์ศิลปะชีพบางไทร) หลังจากมีการนำเสนอข่าวว่าผู้เสนอราคาต่ำสุดไม่ได้รับการคัดเลือก กรณีไม่ผ่านคุณลักษณะเฉพาะในการทดสอบตัวอย่างก่อนหน้านี้
นายปิยะกล่าวว่า กรมฯรู้สึกไม่สบายใจกับข่าวดังกล่าว จึงได้เชิญให้ผู้เกี่ยวข้อง คือ ผู้แทนของบริษัทเอกชนทั้ง 3 แห่ง ที่เข้าร่วมยื่นข้อเสนอประกวดราคาเครื่องตรวจวัดความเร็วฯ จำนวน 849 ตัว ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม จึงได้จัดให้มีการทดสอบเป็นครั้งที่ 3 และจะเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนนำผลที่ได้จากการทดสอบทั้ง 3 ครั้งเข้าสู่ที่ประชุมในระดับกรมฯ เพื่อดำเนินการในขั้นตอนอื่นๆ ต่อไป โดยการจัดให้มีการทดสอบครั้งนี้ ก็เหมือนกับ 2 ครั้งก่อนหน้านี้ คือ ให้ผู้แทนของทั้ง 3 บริษัท คือ บริษัท เทคเอซ จำกัด บริษัท สุพรีม ดิสทริบิวชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัท ท็อป เบสท์ จำกัด ทำการทดสอบการตรวจจับภาพและตรวจวัดความเร็วของยานพาหนะ (รถยนต์) ในระยะต่างๆ ตั้งแต่ระดับ 20 -1,200 ม. และมากกว่านั้น เพื่อทดสอบประสิทธิภาพเครื่องมือดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม หากเอกชนบางรายรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเงื่อนไขในทีโออาร์เกี่ยวกับการกำหนดสเปคของเครื่องตรวจจับความเร็วฯ หรือกังวลใจในเงื่อนไขข้ออื่นๆ ก็สามารถทำเรื่องอุทธรณ์เพื่อขอความเป็นธรรมจาก ปภ.ได้ และหาก ปภ.เห็นว่ามีมูล ก็จะส่งเรื่องต่อไปยังกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เพื่อให้พิจารณาและมีคำสั่งให้ ปภ.ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไป ทั้งนี้ ปภ.พร้อมรับฟังข้อแนะนำจากกรมบัญชีกลาง หากมีการอุทธรณ์ตามขั้นตอน
ทั้งนี้ หากไม่มีการอุทธรณ์ หรืออุทธณ์ไม่ผ่าน ทาง ปภ.ก็พร้อมจะเดินหน้าต่อไป โดยส่งผลที่ได้จากการทดสอบตลอดทั้ง 3 ครั้งเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการจัดซื้อเครื่องตรวจจับความเร็วฯ เพื่อให้พิจารณาตัดสินใจดำเนินการจัดซื้อในขั้นตอนต่อไป เนื่องจาก ปภ.คาดหวังจะส่งมอบเครื่องมือดังกล่าวให้ทางเจ้าพนักงานตำรวจทางหลวงได้นำไปใช้งานในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้
“ขั้นตอนนี้ กรมฯจะยังไม่สนใจเรื่องราคาว่าถูกหรือแพง เพราะต้องตรวจสอบสเปคและคุณภาพของเครื่องตรวจจับความเร็วฯก่อนว่า ตรงตามสเปคที่กำหนดไว้ในทีโออาร์หรือไม่ หากเอกชนรายใดไม่ผ่านการตรวจสอบ ตามหลักการก็จะต้องหลุดพ้นจากวงโคจรออกไป ส่วนจะมีการยื่นอุทธรณ์หรือไม่นั้น ก็เป็นสิทธิ์ของเอกชนรายนั้นๆ ทางกรมฯยืนยันว่าทุกอย่างดำเนินไปตามขั้นตอนของกระบวนตรวจสอบอย่างดีแล้ว ทั้งนี้ หากเครื่องตรวจจับความเร็วฯของเอกชนทุกรายไม่ผ่านการทดสอบ กรมฯก็พร้อมจะล้มเลิกการประมูลครั้งนี้ เพื่อจัดการประมูลครั้งใหม่ต่อไป”
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ปภ.เลือกทดสอบในบางประเด็น แต่ไม่ทดสอบในประเด็นที่เครื่องมือของเอกชนรายอื่นๆ อาจไม่ผ่านการทดสอบ เช่น การตรวจสอบเพื่อแยกประเภทของยานพาหนะ ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวข้อสำคัญของทีโออาร์ชุดนี้ โดยเฉพาะการทำการทดสอบที่อัตราความเร็วเทียบกับระยะทางในแต่ละระดับ ทั้งนี้ หากพบว่าการขับขี่นั้นๆ มีความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว เครื่องมือดังกล่าวสามารถจะแยกแยะประเภทยานพาหนะนั้นๆ ได้หรือไม่ อาทิ แยกเป็นรถขนาดเล็ก หรือรถบรรทุก เป็นต้น ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าว ทางผู้บริหาร ปภ. ยืนยันว่า ขอให้เอกชนไปร้องเรียนและยื่นอุทธรณ์ต่อ ปภ.เอง เนื่องจากการทดสอบครั้งนี้ ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลาและสถานที่เช่นกัน