ธ.ก.ส.เปิดเกณฑ์แยก 4 ประเภทต้นไม้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน

ธ.ก.ส. ลุยเปิดโครงการธนาคารต้นไม้ หลัง ครม. มีมติส่งเสริมชุมชนทั่วประเทศ พร้อมกำหนดเกณฑ์ประเมินมูลค่าต้นไม้เพื่อนำมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน

Advertisement

นายศรายุทธ ธรเสนา ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. สนับสนุนให้เกษตรกรปลูกต้นไม้ภายใต้โครงการธนาคารต้นไม้ โดยการปลูกไม้ยืนต้นบนที่ดินของตนเองและของชุมชนเพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มในที่ดิน หลังมติ ครม.วันที่ 18 กันยายน 2561 เห็นชอบ

ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ได้ร่วมกับ กรมป่าไม้ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (สพภ.) องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำหนดขั้นตอนและหลักเกณฑ์ในการประเมินมูลค่าต้นไม้เพื่อใช้เป็นหลักทรัพย์โดยกำหนดอายุต้นไม้ตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ปลูกในที่ดินของตนเอง โดยที่ดิน 1 ไร่ รับขึ้นทะเบียนไม่เกิน 400 ต้น

สำหรับการวัดมูลค่าจะต้องมีกรรมการและสมาชิกธนาคารต้นไม้รวมกันอย่างน้อย 3 คน ร่วมประเมินมูลค่าต้นไม้เป็นรายต้น ที่ความสูงจากโคน 130 เซนติเมตร มีขนาดเส้น รอบวงต้นไม่ต่ำกว่า 3 เซนติเมตร แล้วเปรียบเทียบเส้นรอบวงที่วัดได้กับตารางปริมาณและราคาเนื้อไม้ เพื่อหามูลค่าต้นไม้ตามกลุ่มที่จำแนกไว้ 4 กลุ่ม คือ

กลุ่มที่ 1 ต้นไม้ที่มีอัตราการเติบโตเร็วถึงปานกลาง รอบตัดฟันสั้น มูลค่าของเนื้อไม้ต่ำ เช่น ไม้กระถิน เทพณรงค์ สะเดา เป็นต้น

กลุ่มที่ 2 ต้นไม้ที่มีอัตราการเติบโตปานกลาง รอบตัดฟันยาว มูลค่าของเนื้อไม้ค่อนข้างสูง เช่น ประดู่ ยางนา ตะเคียนทอง เป็นต้น

กลุ่มที่ 3 ต้นไม้ที่มีอัตราการเติบโตปานกลาง รอบตัดฟันยาว มูลค่าของเนื้อไม้สูง เช่น ไม้สัก มะปิน (มะตูม) เป็นต้น

กลุ่มที่ 4 ต้นไม้ที่มีอัตราการเติบโตช้า รอบตัดฟันยาว มูลค่าของเนื้อไม้สูงมาก เช่น ไม้พะยูง จันทร์หอม มะค่าโมง เป็นต้น

จากนั้นบันทึกข้อมูลลงในแบบตรวจสอบและประเมินมูลค่าต้นไม้ (ธตม.3) และบันทึกรับฝากต้นไม้ในสมุดธนาคารต้นไม้ (ธตม.9) เพื่อแสดงมูลค่าสินทรัพย์ ใช้เป็นหลักทรัพย์และหลักประกัน

อย่างไรก็ตาม มูลค่าต้นไม้แต่ละต้น สามารถนำมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันโดยใช้ควบคู่กับการเพิ่มวงเงินจดทะเบียนจำนองที่ดิน ได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของราคาประเมินมูลค่าต้นไม้ เช่น ที่ดินราคาประเมิน 500,000 บาท ปกติกู้ได้ร้อยละ 50 ของราคาประเมินคือ 250,000 บวาท กรณีมีต้นไม้ที่ประเมินมูลค่าไว้จำนวน 300,000 บาท ซึ่งจะสามารถนำมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้อีกร้อยละ 50 หรือ 150,000 บาท รวมหลักทรัพย์ค้ำประกัน 650,000 บาท โดยปกติกู้ได้ร้อยละ 50 ของวงเงินที่กู้ได้เท่ากับ 325,000 เพิ่มจากเดิม 75,000 บาท