กบง.ใช้กองทุนฯ ตรึงราคาก๊าซที่ 363 บาทต่อถัง 15 กก. ส่วนดีเซลกดไว้ไม่เกิน 30 บาท ต่อลิตร รมว.พลังงานเผย ค่าไฟปีนี้ยังไม่ขึ้น ส่วนปีหน้ารอดูผลกระทบ
นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ยอมรับว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ผันผวนอยู่ในระดับสูงในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในไทยเฉลี่ยปรับขึ้น 4 บาทต่อลิตร โดยเฉพาะดีเซลเพิ่มขึ้น 3.20 บาทต่อลิตร ก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) เพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 395 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม(กก.) หรือปรับขึ้น 40 บาทต่อถัง
กระทรวงพลังงานยืนยันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีสถานะ 3.05 ล้านบาท และในส่วนของแอลพีจี 500 ล้านบาท น้ำมันมีประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพียงพอที่จะรองรับการอุดหนุนราคาดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 10 เดือนในกรณีที่ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกไม่เกิน 90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติเห็นชอบนำเงินกองทุนในส่วนของแอลพีจีชดเชยราคาแอลพีจีให้อยู่ในระดับราคาถังละ 363 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม จากก่อนหน้านี้มีการขึ้นราคาไปอยู่ที่ระดับสูงถึง 395 บาทต่อถัง 15 กก. มีผลตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค.2561 เพื่อบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพจากผลกระทบราคาก๊าซหุงต้มปรับขึ้น
และยังเห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการขึ้นราคาน้ำมันดีเซลต่อประชาชนด้วยการตรึงราคาดีเซลให้ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร โดยใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนราคา 50% ของราคาที่จะปรับขึ้น ก่อนที่จะมีการจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซลเกรดพิเศษ หรือบี 20 ให้รถบรรทุกและรถโดยสารขนาดใหญ่ต่ำกว่าดีเซลบี 7 จำนวน 3 บาทต่อลิตรช่วงต้นเดือนก.ค.นี้ เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกผันผวนปรับตัวสูงเกินระดับ 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ส่วนความวิตกกังวลเกี่ยวกับค่าไฟฟ้าที่มีการตั้งคำถามว่าจะปรับขึ้นตามราคาพลังงาน (ต้นทุนผลิตไฟฟ้า) ที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ รมว.พลังงานกล่าวว่า “ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือ เอฟที ไม่ได้รับผลกระทบจากระดับราคาน้ำมันตลาดโลกที่สูงขึ้น เนื่องจากสูตรของราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าจะอิงราคาน้ำมันเตาย้อนหลัง 6-12 เดือนย้อนหลัง จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่าค่าเอฟทีงวดเดือนก.ย.-ธ.ค.2561 หรือจนถึงสิ้นปีนี้ จะยังไม่มีการปรับขึ้นแน่นอน แต่จะเห็นผลกระทบจากราคาน้ำมันจะสะท้อนไปยังราคาก๊าซฯ และค่าไฟในช่วงต้นปีหน้า
ทั้งนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันที่จะส่งผลต่อราคาก๊าซฯ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า และกระทบต่อค่าเอฟที เพื่อพิจารณารายละเอียดดูแลผลกระทบตามความเหมาะสมต่อไป