ผมเลี่ยงไม่ได้แล้วที่จะต้องพูดถึงสองธุรกิจที่สำคัญมากของเมืองไทย ธุรกิจหนึ่งเป็นของรัฐ อีกธุรกิจเป็นของเอกชนคือบริการแท็กซี่
แต่ทั้งสองธุรกิจกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไปแล้ว แก้ปัญหายากมาก ธุรกิจของรัฐอย่างดีก็แค่ย้ายผู้บริหารเอาไปแขวนไว้ไม่ให้ทำหน้าที่ เพราะอยู่ไป งานก็ล่าช้า ข้าวของสูญหาย
ที่จริง ใครจะไปนึกว่า ผมเป็นคนรักไปรษณีย์ไทยมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เพราะเจอคนส่งจม.รักบ่อยๆ ผมจึงเห็นคนส่งไปรษณีย์เป็นทูตแห่งความรัก
เห็นคนส่งจม.ขี่จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์มาใกล้ๆที่พักทีไร หัวใจผมวูบวาบทุกที
อีกเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายสิบปี ระหว่างนั้นผมก็ยังใช้แท็กซี่อยู่เลย คนขับแท็กซี่ส่วนใหญ่เป็นคนมีอายุ ริ้วรอยบนใบหน้าบ่งบอกถึงประสบการณ์อันมากมายในชีวิต และผมก็ได้รับความเมตตาจากเรื่องเล่าที่น่าสนุกสนานเหล่านั้นจากน้าหรือลุงแท็กซี่
ไม่กี่สิบปี ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป แท็กซี่ที่พี่ลุงน้าอาเป็นคนขับหายไป แท็กซี่ไม่ค่อยรับคนไทยอีกต่อไปแล้ว!
มีน้อยคันที่ไปไหนไม่รอด จำเป็นต้องรับคนไทยที่ไม่ค่อยจะได้ทิปพิเศษ มีการเหมาค่าจ้างในการรับผู้โดยสารต่างชาติ ซึ่งทำให้แท็กซี่ได้ประโยชน์มากกว่า
ผมฟังแล้วเห็นใจครับ ใครๆก็อยากได้เงินเพิ่มหรือทิปพิเศษเพื่อเพิ่มรายได้ให้ตัวเองกันทั้งนั้น แต่การเป็นแท็กซี่ไทยไม่รับคนไทยด้วยกันนี่สิน่าคิด
ปัจจุบัน เราจึงได้ยินว่า “แท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารคนไทย” อยู่เสมอ อ้างว่า จะรีบส่งรถบ้างละ ต้องไปเติมแก๊ซ หรือไม่ไปทางนั้นเพราะรถติดบ้างละ ผลกระทบจึงเกิดกับผู้โดยสารคนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ สรุปแล้ว ก็เรียกรถไม่ได้แม้แต่คันเดียว
วันดีคืนดี บริษัทอูเบอร์ที่มีบริการอยู่ทั่วโลกก็โผล่ขึ้นมาบนท้องถนน คนที่สมัครมาขับอูเบอร์เพื่อหารายได้พิเศษส่วนมากจะเป็นคนมีความรู้ทำงานดีๆและใช้รถดีๆทั้งนั้น แถมราคาไม่แพงและสุภาพ ใครๆก็อาสามาขับอูเบอร์ได้
“อูเบอร์” เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวมากของแท็กซี่ รัฐบาลเองก็พลอยกลัวอูเบอร์ไปด้วย เพราะปัญหาแท็กซี่ไม่รับผู้โดยสารคนไทยนั้นรัฐบาลเองก็แก้ไม่ตกเช่นกัน เลยต้องอ้อมแอ้มขัดขวางไม่ให้อูเบอร์เข้ามาแข่งกับแท็กซี่
ในประเทศเวียดนาม อูเบอร์เฟื่องมาก คนหนุ่มสาวนิยมใช้อูเบอร์มากกว่าแท็กซี่ที่มีแต่จะห่อเหี่ยวขาดรายได้ลงไปทุกวัน และรัฐบาลเวียดนามก็ไม่ยักห้ามกีดกันอูเบอร์กลับปล่อยให้มีการแข่งขันเป็นการใหญ่
เหมือนเรื่องปณ. “บริษัทไปรษณีย์ไทย” นี่แหละ การส่งจม.หรือพัสดุยังคงล่าช้าและข้าวชองประชาชนสูญหายอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะส่งแบบธรรมดาหรือแบบด้วยEMS ก็มีค่าเท่ากัน ทั้งที่แพงกว่ากันมาก แต่ระยะเวลาเดินทางกลับเท่าๆกัน
อย่างการส่งแบบEMS อาจสามารถเช็คของได้ว่าอยู่ที่ไหน แต่พัสดุที่ส่งไปค้างดองอยู่ที่สถานีปลายทางหลายวัน
พัสดุบางอย่างมีสภาพยับเยิน เต็มไปด้วยรอยรองเท้าของพนักงานที่ช่วยกันเหยียบย่ำ!
ผมเคยรอพัสดุจากต่างประทศ ซึ่งเช็คจากต้นทางในสหรัฐอเมริกาแล้ว รับของไว้แค่วันเดียวแล้วส่งมาเมืองไทยทันที ของเหล่านั้นเป็นขวดวิตามินธรรมดา 3-4 ขวด
พัสดุเหล่านั้นมาหายอยู่ในเมืองไทยอยู่เป็นเดือนทั้งที่เขียนที่อยู่อย่างละเอียดชัดเจน
ใครไม่เชื่อเรื่องทั้งหมดนี้ลองเปิดดูเว็บของปณ.ไทยหรืออื่นๆที่เกี่ยวกับการส่งพัสดุทางไปษณีย์ดู
ผมเขียนถึงเรื่องนี้ครั้งหนึ่งแล้ว แต่ไม่ยักได้ผล ผมจึงสนับสนุนอย่างแข็งขันที่มีบริการรับส่งพัสดุเอกชนบางแห่งที่กำลังเริ่มดังอย่าง “Kerry” ถึงแพงกว่าหน่อย ก็ยังทำอะไรตรงไปตรงมา
ส่วนไปรษณีย์ไทย ถ้ายัง “เช้าชามเย็นชาม” รอรับแต่โบนัส สวัสดิการไปจนเกษียณก็ตามใจ รัฐบาลจะไม่แก้ไขก็ตามใจแล้วกัน อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้าไม่ใช้เงินภาษีอากรจะเอาที่ไหนใช้
ผมจึงอยากให้อูเบอร์และเคอรรี่(Kerry)รุ่งซะให้เข็ด
คอลัมน์ หมายเหตุแห่งสยาม โดยฤทัย พัชระ