นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการและผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลกระทบจากการตัดสินคดีรับจำนำข้าว ว่า ผลการตัดสินคดีรับจำนำข้าวมีความชัดเจนในส่วนของการขายข้าวจีทูจี (กรณีคุณบุญทรงและพวก) ทำให้ระบบนิติรัฐเข้มแข็งขึ้น ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันในอนาคตน่าจะลดลงบ้าง นักการเมืองต้องโปร่งใสมากขึ้น ตอกย้ำถึงกระบวนการตุลาการภิวัฒน์ ขณะที่ความซับซ้อนของความขัดแย้งหลักระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายประชาธิปไตยยังดำเนินต่อไปท่ามกลางความขัดแย้งในมิติอื่นๆ ความขัดแย้งจะจัดการได้ดีที่สุดภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มีคุณภาพและมีความเป็นธรรมอย่างแท้จริง ความเป็นกลาง เป็นธรรมและอุเบกขาของศาลจะเป็นหลักประกันสู่สันติสุขอย่างยั่งยืน
ความชัดเจนของการตัดสินคดีในระดับหนึ่ง และ มีความเรียบร้อย (ไม่มีเหตุรุนแรง) ในการดำเนินการเรื่องดังกล่าว เป็นผลบวกต่อการลงทุนในตลาดการเงินและผลดีต่อภาคการลงทุนซึ่งยังกังวลกับความไม่แน่นอนทางการเมือง เงินบาทน่าจะแข็งค่าขึ้นอีก ตลาดหุ้นน่าจะฟื้นตัว เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะขยายตัวได้ในระดับเดียวกับครึ่งปีแรก โดยจะมีการชะลอตัวในไตรมาสสามเล็กน้อยจากปัญหาน้ำท่วมในภาคอีสานและปัญหาการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะเร่งตัวขึ้นช่วงปลายปีโดยเฉพาะในภาคการลงทุนและการท่องเที่ยว อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปีน่าจะมีโอกาสเกิน 4% โดยมีช่วงของการคาดการณ์อัตราการเติบโตของจีดีพีอยู่ที่ 3.6-4.2%
กรณีอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่ไปฟังคำพิพากษาของศาลนั้น ในเบื้องต้นตนไม่เชื่อว่า อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์จะหนีศาล เพราะไม่ผลดีต่อใครเลย และ แสดงถึงความไม่รับผิดชอบทางการเมืองจากการดำเนินนโยบายรับซื้อข้าว 15,000 บาท ดังกล่าว และ จะทำให้การดำเนินนโยบายสาธารณะเพื่อประชาชนในบางลักษณะประสบความยากลำบากในอนาคต การหนีศาลอาจสะท้อนถึงความไม่มั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากระบบศาลยุติธรรมของไทยและไม่มั่นใจต่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพในที่คุมขังเพราะที่ผ่านผู้ต้องหาในหลายรายได้เสียชีวิตอย่างน่าสงสัย ขณะเดียวกันการหนีศาลอาจเท่ากับการถอดชนวนความขัดแย้งรุนแรงเฉพาะหน้าได้ การปล่อยให้หนีของ คสช โดยที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินจึงเป็นลดความเสี่ยงจากวิกฤติความขัดแย้งในเรื่องดังกล่าว แต่ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนถึง “ตุลาภิวัฒน์” อย่างชัดเจน
โดยที่กรณีนี้อาจทำให้ คสช ถูกวิจารณ์ได้ว่า “ปล่อยให้หลบหนี”และรัฐบาล และ คสช ต้องหาผู้กระทำความผิดและผู้รับผิดชอบต่อกรณีดังกล่าวด้วย ขณะนี้ ตนยังคงเชื่อว่า อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์จะเดินทางมาศาลในวันที่ 27 กันยายนรับฟังผลการพิพากษาด้วยความกล้าหาญและการยืนหยัดต่อสู้เพื่อความถูกต้องและยืนยันในความบริสุทธิ์ความตัวเอง และศาลต้องตัดสินใจไปตามข้อเท็จจริง ตามหลักความเป็นธรรมเป็นกลาง อุเบกขาโดยไม่ปล่อยให้มีอำนาจภายนอกมาแทรกแซง หากทุกอย่างดำเนินไปตามที่ตนกล่าวไป ประเทศไทยจะกลับมามีอนาคตที่ดี รุ่งเรืองและสงบสุขสมตามความตั้งใจของรัฐบาล โดยเฉพาะทีมงานเศรษฐกิจที่มีความตั้งใจในการแก้ปัญหาของประเทศอย่างดียิ่ง หากอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์หนีศาลจริง จะทำให้ความขัดแย้งและการต่อสู้ทางการเมืองในระยะต่อไปขยับสู่เรื่องของหลักการ อุดมการณ์มากกว่าตัวบุคคลยิ่งขึ้น และ หากความขัดแย้งและการต่อสู้ทางการเมืองอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย จะมีปัญหาต่อประเทศน้อยที่สุด หากอยู่นอกระบอบประชาธิปไตย การใช้กำลังรุนแรง หรือ การกดขี่ด้วยกำลังที่เหนือกว่าจะมีให้เห็นโดยทั่วไป
กรณีข้อกล่าวหาต่ออดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ เรื่องการดำเนินนโยบายและปล่อยปละละเลยก่อให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันนั้นยังไม่ทราบผลตอนนี้ มีความไม่ชัดเจนและยังไม่มีการเผยแพร่คำพิพากษาของศาลเป็นลายลักษณ์อักษรและให้มีการการรับฟังผลการตัดสินของศาลอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2560 (อาจผิดมาตรา 157 จะส่งผลต่อการดำเนินการนโยบายสาธารณะ ของรัฐบาลในอนาคตอย่างมาก และ การดำเนินนโยบายจะต้องมีความระมัดระวังและต้องมีฐานการวิจัยและข้อมูลมากขึ้น) ความไม่แน่นอนดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคการลงทุนไม่มากนักเนื่องจาก คสช และ รัฐบาลสามารถรักษาความสงบเรียบร้อยได้ดีและมวลชนสนับสนุนอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยก็ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย มีการชุมนุมอย่างสงบและให้ความร่วมมือกับทางการเป็นอย่างดี และมีความมุ่งหมายให้ประเทศกลับคืนสู่ประชาธิปไตยด้วยความเรียบร้อย มีการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย เพื่อประชาชน โดยประชาชน ของประชาชนอย่างแท้จริง บ้านเมืองจะรุ่งเรืองและชีวิตของประชาชนจะดีขึ้นอย่างชัดเจนภายใต้ระบอบดังกล่าว
“ผมอยากเห็นระบบกฎหมายและสังคมไทยตั้งอยู่บนความเป็นธรรม ปรองดองสมานฉันท์ ไม่ทำร้ายกันและใช้ความรุนแรงต่อกันอย่างไร้เหตุผล คนไทยไม่ว่ายากดีมีจน ต้องได้รับความเสมอภาค มีสิทธิเสรีภาพ มีวิจารณาญาณในการรับข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้านโดยไม่ถูกปิดกั้นและครอบงำโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ในฐานะ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง กล่าวให้ข้อมูลและข้อเท็จจริง อีกว่า มาตรการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรและการรับจำนำข้าวเป็นเครื่องมือหนึ่งในการลดความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ เป็นวิธีการแก้ปัญหาราคาตกต่ำของราคาสินค้าเกษตรและราคาข้าวได้รวดเร็วที่สุด ต้องยอมรับภาระทางการคลังหรือการเกิดหนี้เนื่องจากการแทรกแซงหากเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและประชาชน เม็ดเงินที่ใช้ไปไม่ใช่ความเสียหายต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการที่ต้องจ่าย
หากผลการตัดสินในวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2560 ออกมาว่า นายกรัฐมนตรีมีความผิดจากการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าว (รับซื้อข้าว 15,000 บาท) ซึ่งไม่เกี่ยวกับประเด็นทุจริต จะส่งผลต่อการดำเนินการนโยบายสาธารณะ ของรัฐบาลในอนาคตอย่างมาก ต่อการทำงานของกลไกระบบราชการ ต่อเศรษฐกิจ ต่อการเมือง สังคม และต่อสันติสุขรวมทั้งเสถียรภาพความมั่นคงของประเทศอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราทุกคน แน่นอนจะส่งผลต่อความเป็นสถาบันของพรรคการเมือง ซึ่งต้องเสนอทางเลือกนโยบายหลากหลายให้ประชาชนเลือกตั้ง
แม้นผลการตัดสินจะออกมาแบบไหนก็ตาม มาตรการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรหรือนโยบายรับจำนำสินค้าเกษตรรวมทั้งการจำนำข้าวยังเป็นคงเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการบรรเทาความผันผวนของราคาสินค้าเกษตรที่กระทบกับเกษตรกร และ ยังคงเป็นนโยบายสาธารณะที่จำเป็นสำหรับประเทศและประชาชนในอนาคตอย่างยากที่จะยกเลิกได้