นักศึกษาสถาบันสร้างชาติ รุ่น 8 จัดกิจกรรมบรรยายหัวข้อคุยเปรื่อง…เรื่องสร้างชาติ ระบุเศรษฐกิจไทยก้าวช้า การค้าไม่คล่อง ห่วงเอสเอ็มอีตัวเล็กขาดโอกาสด้านแหล่งทุน วอนรัฐบาลใส่ใจปรับโครงสร้างภาษีเป็นไปตามขั้นบันไดรองรับยุคดิจิทัล 5 G
นักศึกษาหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงเพื่อการสร้างชาติ รุ่น 8 ภายใต้การบริหารของสถาบันการสร้างชาติจัดกิจกรรม หัวข้อ คุยเปรื่อง…เรื่องสร้างชาติ และนำเสนอโครงการผ้าไหมมัญจาคีรี โดย ศ.ดร.โภคิน พลกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้เกียรติบรรยายเรื่อง เอสเอ็มอีไทยกับการสร้างชาติ และ ศ.ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันการสร้างชาติ ให้เกียรติบรรยายเรื่องกลยุทธ์การปรับตัวสู่ SMEs Digital 5 G
ขณะเดียวกันยังได้ให้ทรรศนะเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ใช้ความแตกต่างในการสร้างแบรนด์ โดยยกกรณีศึกษาของไหม “อีรี” จากอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่นมาเป็นตัวอย่างในความสำเร็จกับแขกผู้มีเกียรติในงานนี้ด้วย
น.ส.อรัญญา สกุลโกศล ประธานการจัดงานและเป็นนักศึกษาที่จบหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงเพื่อการสร้างชาติ รุ่น 8 สถาบันการสร้างชาติ เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมในครั้งนี้เพื่อแนะนำสถาบันการสร้างชาติให้กับกลุ่มนักธุรกิจ นักบริหาร รวมถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ให้เกียรติมาร่วมงานได้ทราบถึงแนวทางการรวมพลังเพื่อสนับสนุนถึงวิธีคิดการพัฒนาภาวะผู้นำ การบริหารและคุณธรรม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งในการร่วมกันพัฒนาสร้างชาติซึ่งหลักสูตรนี้ถูกออกแบบโดย ศ.ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันการสร้างชาติที่ตกผลึกมาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก
สำหรับนักธุรกิจ นักบริหารและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมงานครั้งนี้เช่น นายไชยวัฒน์ หาญสมวงศ์ ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย นายชนพงษ์ รุ่งกิจวัฒนกุล รองประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย นายวุฒิภัทร แสงทอง ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และอื่นๆ
โดย บรรยากาศภายในงานมีความอบอุ่นและคึกคัก เพราะสิ่งที่เห็นแขกผู้มีเกียรติประมาณ 100 ท่าน ต่างพบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นก่อนที่จะรับฟังการบรรยายหัวข้อ คุยเปรื่อง…เรื่องสร้างชาติ ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งกับการจัดกิจกรรมครั้งนี้
ด้าน ศ.ดร.โภคิน พลกุล ประธานนักศึกษา หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงการสร้างชาติ รุ่น 8 สถาบันการสร้างชาติ ได้ขึ้นกล่าวบรรยายเรื่อง เอสเอ็มอีไทยกับการสร้างชาติ ระบุว่าการพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศพื้นฐานสำคัญคือเอสเอ็มอี และ การสร้างงานสร้างรายได้ 80% มาจากเอสเอ็มอีทั้งสิ้น
สำหรับประเทศไทยนั้นจะแตกต่างจากประเทศอื่นเพราะเกิดเลื่อมล้ำเรื่องโครงสร้างการเสียภาษี คืออัตราการเสียภาษีนิติบุคคลจะต้องเสียภาษี 20% ซึ่งเอสเอ็มอีขนาดเล็กเสียภาษีเท่ากับบริษัทยักษ์ใหญ่ ดังนั้นจึงส่งผลต่อต้นทุน ซึ่งในอนาคตรัฐบาลควรพิจารณาเรื่องนี้ให้เอสเอ็มอีขนาดเล็กเสียภาษีนิติบุคคลที่น้อยกว่าเป็นไปตามขั้นบั้นได หรือ เสียภาษีเหมือนบุคคลธรรมดา ซึ่งจะเป็นธรรมในการดำเนินธุรกิจ หากทำได้กลุ่มเอสเอ็มอีจะมีโอกาสเติบโตได้มากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ที่สำคัญเอสเอ็มอีขนาดเล็กหมดโอกาสจะเข้าถึงแหล่งเงินทุนหรือสถาบันการเงินยาก เพราะจะไม่ได้รับการพิจารณาจากฝ่ายสินเชื่อของสถาบันการเงิน อีกทั้งเสียดอกเบี้ยที่แพงกว่าขณะต้นทุนที่สูงกว่า ทำให้การดำเนินธุรกิจให้เติบโตเป็นไปได้ยาก ส่วนการแก้ปัญหาให้เอสเอ็มอีขนาดเล็กเบื้องต้นคือการรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่เพื่อเป็นพลังในการต่อรอง แต่ก็เป็นไปได้ยาก เพราะแต่ละรายมัวยุ่งกับการแก้ปัญหาในองค์กรเป็นหลัก
ขณะเดียวกัน ศ.ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันการสร้างชาติ ให้เกียรติบรรยายเรื่องกลยุทธ์การปรับตัวสู่ SMEs Digital 5 G กล่าวว่าประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเวิร์ลแบงก์ ระบุว่าต้องใช้เวลาถึง 26 ปี จึงจะพัฒนาได้สมบูรณ์แบบ แต่ประเทศไทยอาจทำไม่ได้เพราะประเทศไทยใช้ระบบการอุปถัมภ์พรรคพวกเป็นหลักมากกว่า ที่สำคัญการพัฒนาจะต้องมีภาคสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไปพร้อมๆกันเพื่อให้เกิดภาวะผู้นำ การบริหารและคุณธรรม ในการพัฒนาประเทศ แต่สำหรับประเทศไทยยังไม่เคยเห็นองค์ประกอบเช่นนี้เลย
“ หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาไทยยังขาดศาสตร์ในการสร้างเศรษฐกิจขั้นพื้นฐาน อย่างเอสเอ็มอีขนาดเล็ก ซึ่งจะให้ประสบความสำเร็จจะต้องสร้างจากฐานล่างขึ้นบน ไม่ใช่บนลงล่างเหมือนประเทศสิงคโปร์ที่ทำได้สำเร็จมาแล้ว ดังนั้นสถาบันการสร้างชาติมีแผนจะชวนคนที่เป็นคนดีเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัวเข้าร่วมกับสถาบันการสร้างชาติขึ้นมาเพื่อพัฒนาประเทศให้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งตอนนี้ทางสถาบันการสร้างชาติกำลังเปิดรับสมัครนักธุรกิจ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เข้ารับการอบรมหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงเพื่อการสร้างชาติ รุ่น 9 หากท่านใดสนใจก็ติดต่อมาได้
สิ่งสำคัญที่จะพัฒนาประเทศได้และให้เกิดความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนคงหนีไม่พ้นภาคกลุ่มเอสเอ็มอีที่เป็นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ แต่สิ่งที่จะต้องรีบแก้ไขนั่นคือการปรับตัวสู่โลกดิจิทัลที่กำลังจะเข้าสู่ยุค 5G การผลิตและการขายสินค้าอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้อาจจะไม่ทันตามยุคสมัย ดังนั้นเอสเอ็มอีควรปรับตัวเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การค้าการขายต้องผ่านแพลตฟอร์มทางโซเซียลมีเดีย เช่น เฟสบุ๊คส์ อินทราแกรม ไลน์ ฯลฯ เพิ่มมากขึ้นเพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า และเป็นต้นทุนที่ต่ำมากกว่าการมีหน้าร้านเหมือนเช่นทุกวันนี้
“ยกตัวอย่างโครงการผ้าไหมมัญจาคีรี จากอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ที่ดำเนินธุรกิจประสบความสำเร็จ โดยการนำนวัตกรรมเข้ามาในการพัฒนาสินค้า การวางระบบการบริหารจัดการที่ดี การทำงานเป็นทีมเวิร์คเข้ามาจัดการกับการเลี้ยงไหมที่แตกต่างจากทั่วไป ปกติตัวไหมกินใบหม่อน แต่ที่อำเภอมัญจาคีรีกลับเลี้ยงไหมด้วยใบมันสำปะหลังแทนใบหม่อน ทำให้เมื่อทอเป็นผ้าไหมแล้ว ผ้าไหมจะนุ่ม ใส่สบาย สีสวย ซึ่งขณะนี้ต่างประเทศต้องการมาก”