เศรษฐกิจไทยโตต่ำสุดในอาเซียน!! IMFประเมินจีดีพีแค่3.5%ในปี2562

IMF ประเมินเศรษฐกิจไทยโตรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยมีกัมพูชาเติบโตสูงสุดที่ 6.8% ขณะที่คาดการเศรษฐกิจไทยในปี2562 นี้โตเพียง 3.5%  ย้ำปัจจัยลบส่งออก-ท่องเที่ยวหด ขาดความเชื่อมั่นจากภาคเอกชน รวมถึงความไม่มั่นใจในสถานการณ์การเมือง

Advertisement

กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF เปิดเผยรายงานมุมมองเศรษฐกิจโลกปี 2019 ประจำเดือนเมษายน และมุมมองเกี่ยวกับตัวเลขการคาดการณ์เศรษฐกิจของประเทศในอาเซียน โดยระบุว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศในอาเซียนและกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในปี2562 นี้ ต้องเผชิญกับปัจจัยลบหลากหลายด้านทั้งในประเทศและนอกประเทศ รวมถึงปัจจัยลบจากภาวะเศรษฐกิจโลก

IMF ได้ระบุ ถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่จะอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในอาเซียน และขยายตัวต่ำสุดในบรรดาชาติอาเซียน รวมถึงยังขยายตัวต่ำสุดในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในเอเชียซึ่งเป็นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับเรื่องของสัญญาณการปรับตัวลดลง ในการขยายตัวของตัวเลขจีดีพีและเศรษฐกิจไทย ที่ โดยมีปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนสูงมากขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มอาเซียนแล้ว ประเทศไทยเศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ต่ำสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน และต่ำสุดสำหรับค่าเฉลี่ยการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียน ซึ่ง IMF ประเมินและคาดการณ์ว่าค่าเฉลี่ยการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนอยู่ที่ 5.1% ส่วนเศรษฐกิจไทยจะอยู่ที่เพียง 3.5%โดยการขายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศอาเซียนสูงสุดคือประเทศกัมพูชา 6.8% และต่ำสุด คือประเทศไทย 3.5% (ข้อมูลจากภาพ)

นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศเกิดใหม่และกำลังพัฒนาในเอเชีย 30 ประเทศ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ IMF ประมาณการณ์ไว้ที่ 6.3% แล้ว เศรษฐกิจไทยยังเติบโตต่ำกว่าค่าประมาณการณ์ดังกล่าวอีกด้วย โดยไทยอยู่อันดับที่ 21 จากทั้งหมด 30 ประเทศ

ทั้งนี้ IMF ยังรายงานถึงปัจจัยการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยซึ่งมีปัจจัยลบมาจาก ตัวเลขการส่งออกที่ขยายตัวต่ำกว่า 3 % กำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการชะลอการลงทุนของภาคเอกชน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเกี่ยวกับความไม่มั่นใจในสถานการณ์การเมือง เกี่ยวกับเสถียรภาพในการจัดตั้งรัฐบาล การใช้ประโยชน์จากเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ไม่เต็มศักยภาพ และสุดท้ายตัวเลขนักท่องเที่ยวที่อาจขยายตัวเพิ่มไม่มากนัก ส่วนปัจจัยต่างประเทศมาจากสงครามการค้า และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก รวมถึงราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก