กระทรวงแรงงาน จับมือภาครัฐ-เอกชน หนุนจ้างงานผู้สูงอายุ ตั้งเป้า 100,000 คน
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมการส่งเสริมการมีงานทำให้ผู้สูงอายุ ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงานโดยมี นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน นางเพชรรัตน์ สินอวย อธิบดีกรมการจัดหางาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมประชุม ว่า ปัจจุบันผู้สูงอายุกำลังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญกับการดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยมีมาตรการรองรับสังคมผู้สูงอายุทั้งในด้านการจ้างงานผู้สูงอายุ โครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ และมาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ในปี 2560 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) จำนวน 11.35 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 16.8 ของประชากรทั้งประเทศ และมีผู้สูงอายุทำงาน จำนวน 4.06 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 35.8 ของผู้สูงอายุทั้งหมด โดยทำงานในระบบ 0.47 ล้านคน และนอกระบบ 3.59 ล้านคน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นผู้ปฏิบัติงานที่มีฝีมือด้านการเกษตรและประมง รองลงมาเป็นพนักงานบริการและผู้จำหน่ายสินค้า ช่างฝีมือและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบอาชีพพื้นฐาน ตามลำดับ ชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ของผู้สูงอายุเฉลี่ยประมาณ 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ ได้รับค่าจ้างหรือเงินเดือนเฉลี่ยประมาณ 11,600 บาทต่อเดือน ส่วนที่ทำงานในภาคการค้าและบริการได้รับค่าจ้างเฉลี่ยประมาณ 16,946 บาทต่อเดือน ภาคการผลิต 10,557 บาท และภาคเกษตรกรรม 4,874 บาท
สำหรับการประชุมในครั้งนี้เป็นการหารือแนวทางขับเคลื่อนการส่งเสริมการมีงานทำและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่กำหนด โดยได้หารือกับภาคเอกชน ภาคภาคีเครือข่ายสังคมว่าจะร่วมกันส่งเสริมการมีงานทำและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุได้อย่างไรบ้าง ภาคเอกชนมีตำแหน่งงานรองรับการจ้างงานไว้จำนวนเท่าไร อย่างไรบ้าง รวมทั้งขอความร่วมมือภาคีเครือข่ายสังคมประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ผู้สูงอายุและหน่วยงานในเครือข่ายร่วมมือกันในการส่งเสริมการมีงานทำและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ขณะเดียวกันได้ขอทราบความเห็นของหน่วยงานภาครัฐว่าจะบูรณาการภารกิจร่วมกันในการส่งเสริมการมีงานทำและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุได้อย่างไรบ้าง และมีข้อเสนอ/แนวทางการปฏิบัติงานเพื่อให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมอย่างไร
รมว.แรงงาน กล่าวต่อว่า ในปี 2562 นี้ กระทรวงแรงงานได้ขับเคลื่อนการส่งเสริมการมีงานทำและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ (อายุ 60-69 ปี) เป้าหมาย จำนวน 100,000 คน แบ่งเป็น ผู้สูงอายุในระบบ จำนวน 20,000 คน ประกอบด้วย 1)ลูกจ้างเอกชน จำนวน 15,000 คน 2)ลูกจ้างภาครัฐ/รัฐวิสาหกิจ 5,000 คน และผู้สูงอายุนอกระบบ จำนวน 80,000 คน ประกอบด้วย 1) ส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ จำนวน 70,000 คน 2)ส่งเสริมการรับงานไปทำที่บ้าน จำนวน 10,000 คน โดยหน่วยงานในสังกัดรับผิดชอบตามภารกิจที่เกี่ยวข้อง คือ (1)สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานกำหนดอัตราค่าจ้างรายชั่วโมงสำหรับผู้สูงอายุ (2)กรมการจัดหางานส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุในอาชีพที่เหมาะสมกับวัยและประสบการณ์ การประกอบอาชีพอิสระ และเป็นศูนย์บริการจัดหางานผู้สูงอายุ (3)กรมพัฒนาฝีมือแรงงานส่งเสริมและพัฒนาฝีมือแรงงาน และศักยภาพของผู้สูงอายุ เพื่อให้มีทักษะที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และมีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ (4)กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานให้ความรู้ด้านสวัสดิการเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยเกษียณ เสริมสร้างความรู้แก่แรงงานผู้สูงอายุ (5)สำนักงานประกันสังคมปรับระบบประกันสังคมให้สอดคล้องกับการจ้างงานผู้สูงอายุและออกหน่วยเคลื่อนที่ด้านสุขภาพ
ส่วนอัตราค่าจ้างและประเภทงานสำหรับแรงงานผู้สูงอายุนั้น คณะกรรมการค่าจ้างได้มีการประชุมเพื่อพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างที่เหมาะสมสำหรับการจ้างงานผู้สูงอายุ ซึ่งได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว กล่าวคือ 1)ช่วงอายุสำหรับการจ้างแรงงานผู้สูงอายุ : ใช้สำหรับการจ้างลูกจ้างผู้สูงอายุ ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป 2)ประเภทงาน : งานเสมียนพนักงาน งานอาชีพเกี่ยวกับการค้า งานอาชีพด้านบริการ หรืองานซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างผู้สูงอายุ 3)อัตราค่าจ้างรายชั่วโมง : อัตราเดียวเท่ากันทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 45 บาทต่อชั่วโมง 4)การกำหนดระยะเวลาทำงานที่เหมาะสมสำหรับลูกจ้างผู้สูงอายุ โดยไม่ควรเกิน 7 ชั่วโมงต่อวัน
นอกจากนั้น รัฐบาลได้ออกมาตรการจูงใจเพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนจ้างแรงงานผู้สูงอายุเข้าทำงานมากขึ้น โดยการตราพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 639) พ.ศ.2560 ซึ่งกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีสิทธินำรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้สูงอายุ มายกเว้นภาษีเงินได้ โดยสามารถหักรายจ่ายได้ 2 เท่า ในการจ้างผู้สูงอายุเข้าทำงานในสถานประกอบการของตน และผู้สูงอายุต้องมีอายุ 60 ปี ขึ้นไป หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ ต้องมีสัญชาติไทยเท่านั้น และผู้สูงอายุที่จะเข้าทำงานจะเป็นลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จ้างอยู่ก่อนแล้ว เช่น เกษียณอายุงานและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นจ้างให้ทำงานต่อ เป็นต้น หรือเป็นผู้สูงอายุที่ได้ขึ้นทะเบียนหางานไว้กับกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานก็ได้ และต้องไม่เป็นและไม่เคยเป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้นของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จ้างผู้สูงอายุดังกล่าว หรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน ทั้งนี้ รายจ่ายที่จะได้รับการยกเว้นภาษี ต้องเกิดจากรายจ่ายที่จ่ายเป็นค่าจ้างให้แก่ผู้สูงอายุไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท