ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานสัมมนา “Nikkei Asia300 Global Business Forum” ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ว่าจากวิกฤตการเงินเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาได้สร้างบทเรียนสำคัญให้กับภาครัฐและเอกชน ในภูมิภาคเอเชียได้ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงในการสร้างวินัยทางการเงินจนทำให้ขณะนี้เศรษฐกิจเอเชียฟื้นตัวและมีสถานะเงินสำรองเงินตราที่มั่นคง ทั้งประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปินส์ และเกาหลีใต้ต่างก็มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี และเป็นแหล่งดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนจากต่างประเทศ
โดยมีการคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีเงินมาลงทุนในตลาดทุนและตลาดพันธบัตรของภูมิภาคนี้อย่างน้อย 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเอเชียจะเป็นภูมิภาคขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของโลกท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของนโยบายเศรษฐกิจของโลกโดยเฉพาะจากนโยบายของผู้นำใหม่ของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ผลของการที่เศรษฐกิจประเทศตะวันตกชะลอตัว และประเทศในภูมิภาคเอเชียที่เติบโตขึ้น ดังนั้นประเทศที่จะได้รับประโยชน์จากโอกาสดังกล่าวต้องมี 4 ข้อคือ
1.ต้องมีความสามารถของประเทศ และความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งไทยเองได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตเน้นเรื่องนวัตกรรมการต่อ ยอดและเพิ่มมูลค่า รวมทั้งเดินหน้าพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี และนโยบายเศรษฐกิจดิจทัล 4.0 ซึ่งถือเป็นแนวทางที่ถูกต้องและไทยเองได้เดินมาในทิศทางที่ถูกต้อง จึงเชื่อว่าจะช่วยยกระดับให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคได้
2.การมีการตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ในเวทีโลก ซึ่งต้องยอมรับว่าไทยและประเทศอื่น ๆในอาเซียน ต่างเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กแต่กลับเป็นที่สนใจลงทุนของต่างชาติ เพราะมีการรวมกลุ่มกันในภูมิภาค รวมทั้งยังมีการรวมกันเป็นอาเซียนบวก 6 ที่เชื่อมต่อกับจีน จึงทำให้ภูมิภาคอาเซียนกลับเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญของโลก
3.ภาคเอกชนต้องมีความแข็งแกร่งและสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกรวมถึงเทคโนโลยี ที่มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเอสเอ็มอีของไทยที่ยังอ่อนแอปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งภาครัฐเองได้พยายามหามาตรการในการสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาให้ขึ้นมาเป็นสตาร์ทอัพ ซึ่งทางญี่ปุ่นเองจะเข้ามาช่วยพัฒนาและพบปะภาคธุรกิจไทยช่วงกันยายนนี้ด้วย
และข้อ
4. คือการมีเอกภาพในประเทศซึ่งสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยที่จะไปลงทุน รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญในการความขัดแย้งในสังคมพร้อมกับผลักดันแนวทางประชารัฐที่ให้ภาครัฐ เอกชน และประชาชนร่วมกันทำงาน และนำแนวทางดังกล่าวมาใช้ในการขับเคลื่อนการทำงานของประเทศ ซึ่งเป็นที่ยอมรับ และทำให้การทำงานแก้ปัญหาต่างๆเป็นไปอย่างรวดเร็ว