“rice innovation”..ข้าวเป็นได้มากกว่าอาหารที่เรารู้จัก!..

หลังจากเสร็จสิ้น “การประชุมวิชาการข้าวแห่งชาติ” ได้มีการเปิดเวที เสวนา ในหัวข้อ rice innovation มีผู้ร่วมเสวนาต่างให้แนวคิดที่หลากหลายน่าสนใจซึ่งสะท้อนมุมมองเฉพาะบุคคลได้อย่างหลากหลาย เริ่มจาก

Advertisement

รศ.ดร.รัชนี คงคาฉุยฉาย ผู้อำนวยการสถาบันโภชนากร มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า ตั้งแต่โบราณมาคนรุ่นเก่าก็มักจะ “กินให้เป็นยา” คือรู้จักการเลือกบริโภคอาหารที่จะช่วยดูแลรักษาสุขภาพอยู่แล้ว ซึ่งข้าวไทยเองก็มีโภชนาการที่หลากหลาย ข้าวแต่ละสายพันธุ์ก็เหมาะกับคนในแต่ละช่วงวัยหรือผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพในด้านใดหนึ่งเป็นพิเศษอยู่แล้ว ดังนั้นการกินข้าวให้เป็นยาจึงไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ยังมีการพัฒนาวิจัยที่เจาะลึกไม่มากนัก จึงเป็นโอกาสของข้าวไทยที่จะทำการศึกษาวิจัยพัฒนาสายพันธุ์ข้าวต่างๆ ให้เป็นยา เช่น ข้าวสำหรับผู้ป่วยโรคไต ต้องเป็นข้าวที่มีฟอสเฟสต่ำ มีโปรตีนต่ำ หรือข้าวสำหรับผู้ป่วยเบาหวานก็ควรมีน้ำตาลต่ำ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการเพิ่มคุณประโยชน์และมูลค่าข้าวไทยให้สูงขึ้น

คุณสมประสงค์ พยัคฆพันธ์ ประธานคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย พูดถึง rice innovation ในประเด็นข้าวกับเวชสำอาง กล่าวว่า ประเด็นสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าวในการนำมาแปรรูปหรือสารสกัดจากข้าวในหมวดหมู่ของเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิว นั่นคือ การควบคุมคุณภาพและเรื่องราวที่จะใส่ลงไปในผลิตภัณฑ์ เพื่อไม่ให้เกิดประเด็นที่จะส่งผลเสีย เช่น การควบคุมปริมาณของสารสกัดข้าวจะควบคุมได้อย่างไรว่ามีปริมาณที่เหมาะสมทำให้เกิดประสิทธิภาพ ผู้บริโภคได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ สมราคา อย่างไรก็ตามปัญหาหนึ่งในเรื่องข้าวกับเวชสำอาง คือ งานวิจัยที่ออกมามักจะไม่ตรงตามความต้องการของตลาด หรือบางทีก็มีความล่าช้าไม่ทันเจ้าอื่นๆ ที่เขามีการพัฒนาวิจัยข้าวเพื่อเวชสำอาง จึงอยากให้นักวิจัยของไทยเรียนรู้ความต้องการของตลาด เพื่อที่งานวิจัยจะได้นำไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้

ด้าน ผศ.ดร.บัณฑิต อินณวงค์ คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้พูดถึงประเด็น ข้าวกับการพัฒนานวัตกรรมจากภูมิปัญญาท้องถิ่น กล่าวว่า ภูมิปัญญา คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากวิถีการดำเนินชีวิตที่ได้สืบทอดต่อกันมา การจะพัฒนาหรือนำนวัตกรรมเข้ามาต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ภูมิปัญญานี้คืออะไร อะไรคือจุดแข็ง จุดด้อย ภูมิปัญญาใดที่ต้องอนุรักษ์ ภูมิปัญญาใดที่ต้องได้รับการพัฒนาต่อยอด โดยที่ไม่สูญเสียอัตลักษณ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นไป

นายวัลลภ  มานะธัญญา ผู้ประกอบการ บริษัท บางซื่โรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด พูดในประเด็น ข้าวกับนวัตกรรมการผลิต กล่าวว่าในฐานะที่เป็นผู้ผลิตข้าวพร้อมรับประทานส่งออก การผลิตข้าวพร้อมรับประทานเป็นการหาทางออกหรือเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวไทย แทนที่จะมองว่าจะส่งออกข้าวสารเพียงอย่างเดียว ซึ่งต้องมองความต้องการของตลาด ซึ่งข้าวพร้อมรับประทานนี้ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ หรือครอบครัวที่มีจำนวนสมาชิกไม่มาก ไม่ต้องการเสียเวลาในการหุงข้าว ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ได้ข้าวสวยร้อนแล้ว ในกระบวนการผลิตต้องการผ่านการศึกษาเพื่อให้ได้ข้าวพร้อมรับประทานที่มีคุณภาพโภชนาการครบถ้วน ตั้งแต่กระบวนการซาวข้าว การฆ่าเชื้อ การหุง การเก็บรักษาที่สามารถอยู่ได้ในอุณหภูมิห้องโดยไม่ต้องแช่แข็ง ซึ่ง บรรจุภัณฑ์ เครื่องจักรทั้งหมดต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ถ้าสิ่งเหล่านี้สามารถทำได้ในประเทศไทยก็จะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้  

การประชุมวิชาการข้าวแห่งชาติ ครั้งที่ 5 ประจำปี 2561 ภายใต้แนวคิด “งานวิจัยข้าวไทย สู่ไทยแลนด์ 4.0” แม้จะปิดฉากลงแล้วในวันนี้ แต่เหล่านักวิจัย นักวิชาการทั้ง 9 หน่วยงาน จะยังคงเดินหน้าต่อยอดความคิดที่ได้จัดทัพร่วมกันในปีนี้ ให้มีความต่อเนื่อง โดยจะมีการจัดการประชุมครั้งที่ 6 อีกครั้งในปี 2563 โดยส่งไม้ต่อให้กับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นประธานการจัดงานต่อไป